หลังจากฝากผลงานไว้กับงานละครและภาพยนตร์ไว้อย่างมากมาย เป็นอีกครั้งที่ ใหม่-ภวัต พนังคศิริ ผู้กำกับภาพยนตร์ฝีมือดี จะลุกขึ้นมากำกับภาพยนต์แนวย้อนยุคอีกครั้ง อย่าง “อโยธยามหาละลวย” หนังรักสายมูที่เข้าถึงใจผู้ชมได้โดยไม่ต้องใช้มนต์คาถาใดๆ
อะไรคือจุดเริ่มต้นหรือแรงบันดาลใจในการทำภาพยนตร์อโยธยามหาละลวย
“การทำอโยธยามหาละลวย เริ่มต้นมาจากการที่เราอยากจะเล่าชีวิตวัยรุ่นในสมัยกรุงศรีอยุธยา ซึ่งเป็นผลพวงจากผลงานย้อนยุคเรื่องก่อนๆ ที่เรายังไม่ได้เล่า เรารู้สึกว่ามันมีเรื่องของวัยรุ่นที่เราอยากจะเล่าในมุมมองของเด็กวัยรุ่นสมัยนั้นทำอะไรใช้ชีวิตยังไงหรือมีความเป็นอยู่อะไรยังไงบ้าง นั่นคือจุดเริ่มต้นครับ”
ทำไมต้องเป็นสมัยอยุธยา
“เท่าที่เราได้เรียนรู้ศึกษาประวัติศาสตร์มาทำให้รู้สึกว่ายุคนี้เป็นยุคที่เฟื่องฟูมากหรูหรามาก สีสันของยุคมันชัดเจนแล้วก็ออกไปในโทนจัดจ้าน เพราะฉะนั้นเลยเลือกที่จะเล่าในยุคของสมเด็จพระนารายณ์ ด้วยความรู้สึกว่ามันเป็นยุคเฟื่องฟูการจะใส่อะไรไปทุกอย่างมันต้องดูหรูหราฟู่ฟ่าสีสันจัดจ้านเสื้อผ้าหน้าผมจัดเต็มให้สมกับที่เป็นยุคทองของอยุธยา เราจึงทำการบ้านกันหนักมากในทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นฝ่าย Production Design ฝ่ายเสื้อผ้า หรือว่าอาจารย์ทางด้านประวัติศาสตร์เราก็ต้องนั่งคุยกันว่าเราจะไปทางไหนถ้าเราจะจับยุคนี้มาเล่น เพราะมีความหลากหลายทางวัฒนธรรมและเชื้อชาติจะมีทั้งไทย จีน แขก ฝรั่ง เพราะฉะนั้นถ้าเราจะใส่ทุกอย่างเข้าไปในหนังให้ลงตัว เราต้องดีไซน์ทุกอย่างให้น้ำหนักออกมาพอดีที่สุด อย่างโรงชำเราก็จะมีกลิ่นของความเป็นจีนหน่อยๆ เพราะเรารู้ว่านายทุนหรือเจ้าของโรงชำเราส่วนใหญ่จะเป็นคนจีน หรือว่าฉากตลาดก็จะมีกลิ่นของความเป็นแขกนิดๆ จะมีอะไรอย่างนี้ผสมอยู่ในหนัง เพราะความหลากหลายพวกนี้ทำให้เราสามารถเล่าออกมาได้อย่างสนุกสนาน”
มีวิธีในการสร้างภาพยนตร์แนวพีเรียดอย่างไร
“คือ เราต้องสร้างความเชื่อให้คนดูก่อน มีการอ้างอิงประวัติศาสตร์อยู่บ้าง อย่างตัวละครในเรื่องนี้เราอ้างอิงจากที่มีอยู่ในประวัติศาสตร์จริง 30 เปอร์เซ็นต์ ส่วนอีก 70 เปอร์เซ็นต์ คือตัวละครที่เราสร้างขึ้นแต่งขึ้นเพื่อให้เรื่องราวมันดูสนุกขึ้น อย่างตัวละครเอกของเรา จริงๆ ก็คือลูกหลานของยามาดะซามูไรคนสุดท้ายของอโยธยาที่ยังหลงเหลืออยู่ในแผ่นดินที่พระเพทราชาจะต้องจัดการ เพราะตามประวัติศาสตร์พระเพทราชาเป็นกษัตริย์ที่ไม่ค่อยปลื้มกับพวกต่างชาติเท่าไร ต่างกับพระนารายณ์ที่เปิดโอกาสให้ต่างชาติเข้ามาเต็มที่”
อะไรคือแรงบันดาลใจในการใส่เรื่องคาถาอาคมในภาพยนตร์
“แรงบันดาลใจได้มาจากเรื่องขุนช้างขุนแผนชัดเจนมาก ไม่ใช่แค่การใช้คาถาอาคมในการต่อสู้หรือจะจีบผู้หญิงเท่านั้น แต่กิจกรรมอย่างหนึ่งที่วัยรุ่นสมัยอยุธยาทำกันคือต้องมีคาถาอาคมต้องเล่นของ อย่างสมัยนี้สายมูทั้งหลายก็ต้องมีต้องหาเช่าเพื่อเสริมให้กับตัวเอง พราะฉะนั้นหนังเรื่องนี้เลยถูกหยิบเอาเรื่องของคาถาอาคมมาใช้ในการจีบสาวนอกเหนือจากใช้คาถาอาคมกับการต่อสู้ แต่สุดท้ายนั้นหนังมีบทสรุปของมันว่าคาถาอาคมจริงๆ แล้วมันไม่จำเป็นหรอกถ้าจะรักกันมันอยู่ที่หัวใจ”
อะไรคือส่วนที่ยากที่สุดของการทำภาพยนตร์เรื่องนี้
“สำหรับเราคิดว่าน่าจะเป็นเรื่องการแต่งกาย แฟชั่นทั้งหลาย เพราะเราต้องใส่ความแฟนตาซีเข้าไปในตัวละครเข้าไปในตัวฉากนั้นด้วย มันจะมีหลายฉากมากที่เรารู้สึกว่าโอเคเราจะชอบประมาณหนึ่งแล้ว แต่พอได้คุยกับผู้กำกับคิวบู๊แล้ว กลับรู้สึกว่าฉากที่เราโอเคแล้วมันธรรมดาไม่ได้ มันต้องใส่ความแฟนตาซีกันหน่อย เพราะฉะนั้นส่วนนี้ค่อนข้างที่จะยากระดับหนึ่ง”
อะไรคือส่วนที่สนุกที่สุดของการทำภาพยนตร์เรื่องนี้
“ช่วงวางคาแรคเตอร์ตัวละคร เรารู้สึกว่าพอยุคสมัยมันเปิดโอกาสให้เราได้เล่าไทย จีน แขก ฝรั่ง ทำให้เราสนุกไปกับการเลือกคาแรคเตอร์ของแต่ละคน เราเลือกพระเอกให้มันดูเป็นญี่ปุ่นเพราะเรารู้สึกว่าดูเท่ดี เราจะได้มีฉากฉากบู๊โดยใช้ดาบซามูไร เราจะมีฉากแอ็คชั่นที่ดูมีไทยผสมญี่ปุ่น เราเลือกน้องโบว์เมลดามาเป็นนักร้องในโรงชำเรา ซึ่งโบว์ร้องเพลงเองแล้วก็ออกมาดูมีเสน่ห์เย้ายวนอย่างที่เราอยากได้ เพราะฉะนั้นการวางคาแรคเตอร์ของตัวละครคือส่วนที่สนุกที่สุด ด้วยความที่ยุคสมัยมันเอื้ออำนวยให้เราดีไซน์ตัวละครได้หลากหลายเชื้อชาติ”
การทำงานกับเจมส์จิ และโบว์ เมลดา เป็นอย่างไรบ้าง
“เรายังไม่เคยร่วมงานกับเจมส์จิและโบว์เลย รู้สึกว่าเด็กสองคนนี้เป็นคนที่มีความสามารถ ต้องหาโอกาสทำงานกับน้องสักครั้งหนึ่ง จนได้มีโอกาสในหนังเรื่องนี้ เพราะบทหนังมันเชื่อมต่อกับคาแรกเตอร์ของเจมส์อยู่แล้ว เลยลองคุยกับเจมส์ดูปรากฏว่าทุกอย่างลงตัว เจมส์รับปากเล่นให้ แล้วก็ไม่ทำให้ผิดหวัง อย่างฉากแอคชั่นที่เราคิดว่าหนักสำหรับเขา คือเจมส์ดูเหมือนจะบอบบาง แต่เจมส์สู้ยิบตาจริงๆ ถ่ายจนถึงเช้าเขาโอเคมากๆ ตั้งใจทำงานมาก รับผิดชอบสูง และก็ไม่มีอารมณ์เครียดให้เห็นมีแต่อารมณ์ดีทั้งวี่ทั้งวัน ส่วนน้องโบว์ ก็ไม่ทำให้ผิดหวังเช่นกัน น้องมีความสามารถเยอะ ร้องเพลงเองในเรื่องแถมเสียงเพราะด้วยนะไม่ใช่ไม่ธรรมดา แล้วก็ตั้งใจทำงานสนุกไม่มีซีเรียส ให้ทำอะไรก็ทำ อยู่ดึกแค่ไหนก็อยู่ ซึ่งการทำงานระหว่างสองคนนี้ ส่งผลให้เราและทีมงานทำงานง่ายมาก ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างออกมาดีอย่างที่ต้องการ”
ได้ชมกันแน่นอนกับภาพยนตร์อโยธยามหาละลวย หนังรักสายมูที่รับรองได้ว่าผู้ชมจะสนุกและก็แปลกตาแล้วก็ได้ความรู้สึกใหม่ๆ กับมิติใหม่ของการดูหนังพีเรียดพร้อมกันวันที่ 2 ธันวาคมนี้ ในทุกโรงภาพยนตร์