รถถัง จิตรเมืองนนท์ นำทัพนักชกไทย พร้อมสู้ศึก ONE: A NEW TOMORROW ที่ อิมแพ็ค อารีน่า วันที่ 10 มกราคมนี้ กับ 4 ไฟต์ที่พลาดไม่ได้
เข้าสู่โค้งสุดท้ายก่อนเปิดศักราชใหม่ 2020 กับศึกวัน แชมเปียนชิพ ONE: A NEW TOMORROW ซึ่งถือเป็นศึกแรกของปีและประเทศไทยได้รับเกียรติให้เป็นเจ้าภาพในการประเดิมเอาฤกษ์เอาชัย
ครั้งนี้ขนนักกีฬาจากทั่วโลกกว่า 12 คู่ 24 ชีวิต ขึ้นสังเวียนประลองฝีมือในกติกามวยไทย คิกบ็อกซิ่ง และศิลปะการต่อสู้แบบผสมผสาน (MMA) อัดแน่นครบเครื่อง โดยจะมีการเผยแพร่ไปสู่ผู้ชมกว่า 2,600 ล้านคนในกว่า 145 ประเทศให้รับชมโดยพร้อมเพรียงกัน ผ่านแอปพลิเคชัน ONE Super App โหลดฟรี ชมฟรี ตั้งแต่คู่แรกจนจบรายการ
เนื่องจากประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ ศึกนี้จึงขนนักกีฬาไทยระดับแถวหน้า 4 คนร่วมสู้ศึก ได้แก่ รถถัง จิตรเมืองนนท์, แสตมป์ แฟร์เท็กซ์, แสงมณี เสถียรมวยไทย และ เมืองไทย พี.เค.แสนชัยมวยไทยยิม ซึ่งทั้ง 4 คนนี้จะต้องเผชิญกับอะไรในศึกนี้บ้าง ติดตามได้จากที่นี่
เมืองไทย พี.เค.แสนชัยมวยไทยยิม
เริ่มต้นด้วยคู่ที่ 7 ของรายการ ระหว่าง เมืองไทย พี.เค.แสนชัยมวยไทยยิม vs บริซ เดลวัล สำหรับ เมืองไทย ไฟต์นี้เป็นครั้งที่สามของเขาในรายการ วัน แชมเปียนชิพ ซึ่งน่าจะมีความชำนาญในการใช้นวมเปิดนิ้ว 4 ออนซ์ ซึ่งเป็นนวมปราบนักมวยระดับเซียน มาพอสมควร
เมืองไทย เป็นมวยศอกสมฉายา “ขุนศอกผีดิบ” แต่การเจอกับคู่แข่งก้านยาวเสาโทรเลขอย่าง บริซ เดลวัล จากแอลจีเรีย อาจทำให้ เมืองไทย ต้องเปลี่ยนแผน เพราะน่าจะเข้าประชิดตัวได้ยาก
บริซ เดลวัล ชกกับ วัน แชมเปียนชิพ ครั้งนี้เป็นครั้งที่สอง เขาเคยเป็นคู่ปรับเก่าของ “น้องโอ๋ ไก่ย่างห้าดาว” ซึ่ง น้องโอ๋ เคยเปิดใจ ยอมรับว่าคู่แข่งรายนี้ชกยากที่สุด ที่เคยเจอมาใน วัน แชมเปียนชิพ ด้วยเพราะความได้เปรียบเรื่องส่วนสูงและช่วงชก แขนขายาว
เมืองไทย ซึ่งสูง 172 ซม.(สูงกว่า น้องโอ๋ 1 ซม.) ในขณะที่ บริซ สูง 178 ซม. ก็น่าจะกะความสูงคู่ต่อสู้ได้เมื่อยืนประจันหน้ากัน โดยทั้งคู่จะชกกันในกติกามวยไทย รุ่นแบนตัมเวต (65.8 กก.) สามารถใช้หมัด เท้า เข่า ศอก ได้ แต่เมื่อใช้ศอกไม่ถนัด เมืองไทย จะแก้เกมศึกนี้อย่างไร น่าสนใจทีเดียว
แสงมณี เสถียรมวยไทย
คู่ที่ 10 (คู่ค้ำของรายการ) ระหว่าง แสงมณี เสถียรมวยไทย vs เคนตะ ยามาดะ สำหรับ แสงมณี ไฟต์นี้ถือเป็นครั้งที่สองใน วัน แชมเปียนชิพ หลังจากที่ไฟต์เปิดตัวเจอคู่แข่งขันยักษ์ที่มาประเดิมศึกครั้งแรกเช่นกัน จึงยังเก้ๆ กังๆ เรื่องการทำน้ำหนักตามกฎกติกาของ ONE จึงทำให้ลดน้ำหนักไม่ได้ตามกำหนด แต่ แสงมณี ก็สปิริตสูงยอมขึ้นชกแบกน้ำหนักไว้หลายปอนด์ จึงโชว์ฟอร์มได้ไม่เต็มที่
ไฟต์นี้เจอกับ เคนตะ ยามาดะ นักชกจากแดนอาทิตย์อุทัยที่มีพื้นฐานทั้งมวยไทยและคิกบ็อกซิ่ง และเคยผ่านมวยเก่งอย่าง เพชรมรกต เพชรยินดีอะคาเดมี กับ เมืองไทย พี.เค.แสนชัยมวยไทยยิม มาแล้ว เมื่อผ่านสังเวียนมาหลายครั้ง การทำน้ำหนักจึงไม่น่าจะเป็นปัญหา การเจอกับ แสงมณี จึงน่าจะสมน้ำสมเนื้อกันในเรื่องขนาดตัว แต่ฝีมือและความเจนเวที นาทีนี้ แสงมณี ที่มีสถิติ 212 ไฟต์ ดูมีภาษีกว่า เคนตะ ที่มี 89 ไฟต์อยู่มาก แต่ก็ประมาทไม่ได้ เพราะกับนวม 4 ออนซ์ ซึ่งเป็นนวมปราบเซียน มีเกมพลิกมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง
แสงมณี กับ เคนตะ จะชกกันในกติกามวยไทย รุ่นแบนตัมเวต (65.8 กก.) ใช้อาวุธมวยไทยได้เต็มรูปแบบ ชนิดไม่ต้องออมมือ
แสตมป์ แฟร์เท็กซ์
คู่ที่ 11 (คู่รองของรายการ) นักชกสาวแชมป์โลกสองประเภทกีฬา ทั้งมวยไทยและคิกบ็อกซิ่ง “แสตมป์ แฟร์เท็กซ์” แต่เธอไม่ได้มาในฐานะแชมป์โลก เธอมาในฐานะนักกีฬาการต่อสู้แบบผสมผสาน (MMA) ถ้านับเฉพาะกติกานี้ แสตมป์ ขึ้นสังเวียนเป็นครั้งที่ 3 ใน วัน แชมเปียนชิพ เจอกับอีกหนึ่งคู่ต่อกรจอมแกร่งของรุ่นอะตอมเวต (52.2 กก.) อย่าง “พูจา โทมาร์” ซึ่งเป็นแชมป์วูซู (กังฟู) ซึ่งเป็นศิลปะการต่อสู้ของจีน รายนี้มีพื้นฐานเกมนอนสู้เหนือชั้นกว่าคู่แข่งขันคนอื่นๆ ที่ แสตมป์ เคยเจอมา
ถ้าเทียบประสบการณ์นอนสู้แล้ว พูจา เคยผ่านคู่แข่งขันตัวแกร่งๆ มาแล้ว และเชื่อว่าเธอจะใช้วิธีนี้ในการจัดการ แสตมป์ เพราะหากคิดจะยืนสู้กับแชมป์โลกมวยไทยและคิกบ็อกซิ่งล่ะก็ ยังไง แสตมป์ ก็มีภาษีกว่า
ความน่าสนใจจึงอยู่ที่ว่า ใครจะควบคุมเกมที่ตัวเองถนัดได้มากกว่ากัน ไฟต์นี้จะถือเป็นบททดสอบที่แกร่งขึ้นสำหรับ แสตมป์ หากเธอต้องการเดินหน้าในกติกานี้ เพราะอนาคตจะต้องเจอคู่แข่งหินกว่านี้อีกหลายเท่า
รถถัง จิตรเมืองนนท์
คู่ที่ 12 (คู่เอกของรายการ) แชมป์โลก ONE มวยไทย รุ่นฟลายเวต “รถถัง จิตรเมืองนนท์” ต้องเจอศึกหนักตั้งแต่ต้นปี กับการกลับมาปิดบัญชีแค้นของ “โจนาธาน แฮ็กเกอร์ตี” อดีตเจ้าของเข็มขัดเส้นนี้ ที่หวังจะมาทวงบัลลังก์คืน
ไฟต์แรกที่ทั้งคู่เจอกันต้องยอมรับว่าเป็นการแข่งขันที่สูสีชนิดเส้นยาแดงผ่าแปด แม้แต่ รถถัง เองยังยอมรับว่าถ้าไม่สอยคู่แข่งขันจากกรุงลอนดอนร่วงไปในยกที่ 4 เขาก็อาจมีความเสี่ยงที่จะแพ้คะแนนได้เหมือนกัน
ความได้เปรียบของ แฮ็กเกอร์ตี คือเรื่องความสูงและช่วงชก แขนขายาว ไหวพริบและความเฉลียวฉลาด เป็นมวยไอคิวสูง และฝึกมวยมาตั้งแต่เด็ก แถมมีพ่อเป็นนักมวยอีก ที่สำคัญคู่นี้อายุอานามเท่ากัน เรียกว่าพละกำลังหนุ่มเหลือเฟือ อยู่ที่ว่าใครจะได้เปรียบกันตรงจุดไหน และไฟต์ที่ทั้งคู่เจอกันครั้งแรกก็ได้รางวัลไฟต์ดุเดือดแห่งปี 2019 ด้วย น่าดูจนไม่รู้จะอธิบายยังไง ใครไม่ได้ดูบอกได้คำเดียวว่า พลาด!!!
สำหรับศึก ONE: A NEW TOMORROW จะจัดขึ้นที่อิมแพ็ค อารีน่า เมืองทองธานี วันศุกร์ที่ 10 มกราคมนี้ เริ่มคู่แรกเวลา 17.30 น. จองบัตรเข้าชมได้ที่ ไทยทิคเก็ตเมเจอร์ เริ่มต้นที่ราคา 200 บาทเท่านั้น รับรองความมันคุ้มทะลุค่าตั๋ว