ฟอร์มกำลังพุ่งแรงสุดๆ สำหรับทีมสุนัขจิ้งจอก เลสเตอร์ ซิตี้ ภายใต้การคุมทีมของ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ทำให้เกจิฟุตบอลและแฟนบอลอังกฤษอดคิดไม่ได้ว่าพวกเขาอาจจะสร้างปาฏิหาริย์คว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก ได้อีกครั้งเหมือนในฤดูกาล 2015-16 ที่กุนซือชาวอิตาลี เคลาดิโอ รานิเอรี่ เคยสร้างตำนานเอาไว้
โฉมใหม่ดีกว่าเดิม?
โดยรวมแล้ว เลสเตอร์ ชุดนี้ออกตัวสิบเกมแรกได้ดีกว่าชุดแชมป์ปี 2016 เล็กน้อยปัจจุบันพวกเขามี 20 คะแนนจาก 10 เกม ยิงไปถึง 25 ประตูน้อยกว่าแค่ทีมเดียวคือ แมนฯ ซิตี้ และเสียแค่แปดประตูน้อยที่สุดในลีกเท่ากับ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด
นักเตะหลักชุดแชมป์ปี 2016 ที่ยังเหลือมาจนถึงชุดปัจจุบันมีห้าคนคือ ผู้รักษาประตู เคสเปอร์ ชไมเคิล ดาวยิงคนสำคัญ เจมี่ วาร์ดี้ และแนวรุกอีกคนคือ มาร์ค อัลไบรท์ตัน ส่วนในแนวรับมี คริสเตียน ฟุคส์ และ เวส มอร์แกน
แม้จะเสียกำลังสำคัญของทีมไปหลายคนทั้ง เอ็นโกโล่ ก็องเต้ สุดยอดมิดฟิลด์ตัวรับ ริยาด มาห์เรซ แนวรุกชาวอัลจีเรีย รวมไปถึงหัวใจในแนวรับ แฮร์รี่ แมกไกวร์ ที่ย้ายไป แมนฯ ยูฯ ด้วยค่าตัวสถิติโลกแต่ เลสเตอร์ ก็ได้นักเตะดีๆ เข้ามาเสริมทีมในหลายตำแหน่ง ซึ่งบางคนโชว์ฟอร์มเข้าตามากๆ เช่น คักลาร์ โซยุนคู กองหลังจากตุรกี วิลฟรีด เอ็นดิดี้ กลางรับชาวไนจีเรีย และ เจมส์ เมดดิสัน ดาวรุ่งของอังกฤษที่น่าจับตามองมากที่สุดคนหนึ่งในซีซั่นนี้
กุนซือเปลี่ยนสไตล์เปลี่ยน
ในเรื่องของรูปแบบการเล่นทีมชุดนี้กับทีมชุดแชมป์ปี 2016 ก็มีความแตกต่างกันอย่างมาก ในยุคของ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ทีมสุนัขจิ้งจอกมีรูปแบบการเล่นที่เน้นการต่อบอลเท้าสู่เท้ามากกว่าในยุคของ เคลาดิโอ รานิเอรี่ โดย เลสเตอร์ ชุดปัจจุบันเฉลี่ยแล้วมีการวางบอลยาวแค่ 10% จากการผ่านบอลทั้งหมดและมีอัตราการครองบอลเฉลี่ย 58.6% ต่อเกม ส่วนในยุคของ รานิเอรี่ มีถึง 21% ที่เป็นบอลยาว และครองบอลแค่ 42% ต่อเกม
แน่นอนว่าถ้าจะพูดถึงการคว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก ก็ยังมีหลายคนตั้งคำถามว่าพวกเขาจะดีพอที่จะไปถึงจุดนั้นหรือไม่เมื่อต้องแข่งกับทีมแกร่งสุดๆ อย่าง ลิเวอร์พูล และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ อย่างที่ เอียน ไรท์ อดีตดาวยิง พรีเมียร์ลีก บอกว่า “แน่นอนว่าเลสเตอร์ไปถึงแชมป์ลีกได้ กรณีถ้าแมนฯ ซิตี้ และ ลิเวอร์พูล พลาดท่า จะมีทีมไหนได้โอกาสล่ะ?”
