หลังจากบุกไปเก็บชัยเหนือ ไบรท์ตัน 2-0 ทำให้ เลสเตอร์ คว้าชัยเป็นนัดที่ห้าติดต่อกันรั้งตำแหน่งรองจ่าฝูงและเป็นการชนะในเกม พรีเมียร์ลีก ติดต่อกันมากที่สุดในประวัติศาสตร์สโมสร เท่ากับในฤดูกาล 2015-16 ในยุคของกุนซือ เคลาดิโอ รานิเอรี่ โดยทีมชุดนี้ถูกมองว่าจะเข้ามามีบทใหญ่ในการลุ้นแย่งบัลลังก์แชมป์ พรีเมียร์ลีก กับทีมเต็งอย่าง ลิเวอร์พูล และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้
เกมรุกคมกริบ
ไม่น่าแปลกใจที่เกมบุกของทีมจิ้งจอกสีน้ำเงินน่ากลัวขึ้นผิดหูผิดตา ภายใต้การทำทีมของ เบรนเดน ร็อดเจอร์ส พวกเขาทำผลงานดีขึ้นอย่างชัดเจน อดีตกุนซือหงส์แดงเคยช่วยให้ ลิเวอร์พูล ยิงได้ถึง 101 ประตูในฤดูกาล 2013-14
ตั้งแต่เปิดซีซั่นมา เลสเตอร์ มีโอกาสยิงประตูถึง 147 ครั้งมากที่สุดเป็นอันดับที่สี่ในลีก และทีจังหวะสร้างสรรค์เกมรุก 139 ครั้งมากที่สุดเป็นอันดับสี่ในลีกเช่นกัน แต่สิ่งที่ เลสเตอร์ เหนือกว่าทุกทีมคือความคม พวกเขามีเปอร์เซ็นต์การเปลี่ยนโอกาสยิงเป็นสกอร์มากที่สุดในลีก
ความดีความชอบส่วนหนึ่งต้องยกให้ เจมี่ วาร์ดี้ ศูนย์หน้าวัย 32 ปีซึ่งเป็นนักเตะที่เปลี่ยนโอกาสยิงเป็นสกอร์มากกว่า 40 เปอร์เซ็นต์ สูงกว่านักเตะทุกคนในลีกปีนี้ เขาคือดาวยิงสูงสุดที่ตอนนี้ซัดไปแล้ว 12 ประตู
เกมรับสุดเหนียว
เลสเตอร์ เสียกองหลังตัวสำคัญ แฮร์รี่ แม็กไกวร์ ให้ แมนฯ ยูฯ ไปแต่พวกเขาก็ยังแกร่งเหมือนเดิมและเพิ่งโดนเจาะตาข่ายแค่ทั้งหมดแปดประตู น้อยกว่าทุกทีมในลีกตอนนี้ ต้องให้เครดิต จอนนี่ อีแวนส์ และ คักลาร์ โซยุนคู สองเซ็นเตอร์ที่จับคู่กันได้อย่างเหนียวแน่น รวมถึง วิลฟรีด เอ็นดิดี้ มิดฟิลด์ตัวรับชาวไนจีเรียที่ช่วยป้องกันแผงหลังได้อย่างแข็งขัน จากสถิติเขาคือนักเตะที่เข้าสกัดและตัดบอลได้มากที่สุดในลีกคือ 62 และ 37 ครั้งตามลำดับ
ความมั่นใจเต็มเปี่ยม
กองเชียร์ทีมจิ้งจอกเองก็ดูจะมั่นใจเป็นอย่างมากว่าซีซั่นนี้พวกเขาจะไปได้ไกลถึงแชมป์ อย่างที่กุนซือ เบรนแดน ร็อดเจอร์สให้สัมภาษณ์ไว้ว่า “สิ่งที่เจ๋งมากคือตอนนี้แฟนบอลของเราเริ่มร้องเพลง “เรากำลังจะเป็นแชมป์ลีก” ทั้งที่ที่นี่คือลีกที่โหดหินที่สุดในโลก ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าพวกเขามีความเชื่อมั่นแค่ไหน พวกเขามีความคาดหวังและมันสุดยอดไปเลย”