ลิเวอร์พูล และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ กำลังยืนในตำแหน่งจ่าฝูง และรองจ่าฝูง พรีเมียร์ลีก แลดูน่าจะเป็นคู่แข่งแย่งแชมป์ พรีเมียร์ลีก ที่ขับเคี่ยวกันอย่างดุเดือดอีกหนึ่งฤดูกาล ขณะที่ทีมอื่นๆ ในกลุ่มท็อปซิกส์กลับออกอาการยางแตกตั้งแต่เริ่มเปิดซีซั่น ทำให้ทีมที่เคยอยู่วงนอกอย่าง เลสเตอร์ ซิตี้ มีลุ้นยาวๆ ในปีนี้
กุนซือทีมจิ้งจอก เบรนเดน ร็อดเจอร์ส มีเป้าหมายหลักคือพาทีมติดท็อปซิกส์ในซีซั่นนี้ แต่เมื่อสโมสรใหญ่อย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, อาร์เซนอล, เชลซี, ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ กำลังมีปัญหาและเค้นฟอร์มดีๆ ไม่ออก เป้าหมายท็อปโฟร์คงไม่ได้ยากเย็นแสนเข็ญนักสำหรับทีมตราจิ้งจอก
สำหรับ เลสเตอร์ พวกเขาเพิ่งพิชิต สเปอร์ มาได้ 2-1 ทำให้ทีมไก่เดือยทองยังคงควานหาชัยชนะนอกบ้านไม่เจอต่อไป สถิติการเล่นเป็นทีมเยือนของพวกเขาย่ำแย่มาก นับตั้งแต่เดือนมกราคมเป็นต้นมา สเปอร์ ยังไม่สามารถเก็บชัยนอกบ้านได้แม้แต่นัดเดียวในศึก พรีเมียร์ลีก นี่คงเป็นจุดที่หนักอกกุนซือ เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ มาตลอด ส่วนเพื่อนร่วมกรุงลอนดอนอย่าง อาร์เซนอล ยังคงแก้ไม่ตกกับปัญหาแนวรับที่รั่วเอาๆ จนพลาดการเก็บสามคะแนนไปในหลายๆ นัด ขณะที่ทีมสิงห์บลู เชลซี ก็เป็นอีกทีมที่มีปัญหาในแนวรับ แปดนัดหลังสุดยังเก็บคลีนชีตไม่ได้แม้แต่นัดเดียว
อีกทีมที่จะไม่พูดถึงไม่ได้คือ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ดูจะพังที่สุดในบรรดาสี่ทีม เกมที่แพ้คาบ้านตัวเองให้กับ เวสต์แฮม นักเตะปีศาจแดงเล่นกันได้ย่ำแย่ทุกตำแหน่ง โดยเฉพาะในเกมรุก ภาระตกอยู่กับ มาร์คัส แรซฟอร์ด หลังจาก โรเมลู ลูกากู ถูกขายออกไป ซึ่งเจ้าตัวก็ดูเหมือนจะเล่นไม่ออกเมื่อต้องมารับบทบาทกองหน้าตัวเป้า ส่วนในแผงกองกลาง พวกเขาควรจะมีมิดฟิลด์ตัวสร้างสรรค์เกมที่ไว้ใจได้สักคน เพื่อช่วยแผงหน้าในการปั้นเกมรุกด้วย
สำหรับทีมที่มีหวังจะสอดแทรกเข้ามาในท็อปโฟร์ นอกจาก เลสเตอร์ ที่แม้จะเสียแนวรับคนสำคัญ แฮร์รี่ แม็กไกวร์ ไปแต่ทีมก็ยังคงความแกร่ง อีกทีมที่ถูกมองว่าจะเป็นม้ามืดในการช่วงชิงตำแหน่งท็อปโฟร์คือ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ภายใต้การทำทีมของ มานูเอล เปเยกรินี ปีนี้จึงน่าจะเป็นอีกครั้งที่การลุ้นพื้นที่ท็อปโฟร์ในศึก พรีเมียร์ลีก มีความสนุกไม่แพ้การลุ้นแชมป์