เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด ไทยลีก

ไหนว่ารู้วิธีเป็นแชมป์? 7 ปัญหา “เมืองทอง” ที่ต้องแก้ก่อนตกชั้น

นับเป็นความพ่ายแพ้นัดที่ 4 ในรอบ 6 นัดของ “กิเลนผยอง” เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด หลังเป็นฝ่ายบุกไปพ่าย “นกใหญ่พิฆาต” ชัยนาท ฮอร์นบิล 0-3 เป็นเหตุให้สิ้นเกมกลางสัปดาห์โตโยต้า…

Home / SPORT / ไหนว่ารู้วิธีเป็นแชมป์? 7 ปัญหา “เมืองทอง” ที่ต้องแก้ก่อนตกชั้น

นับเป็นความพ่ายแพ้นัดที่ 4 ในรอบ 6 นัดของ “กิเลนผยอง” เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด หลังเป็นฝ่ายบุกไปพ่าย “นกใหญ่พิฆาต” ชัยนาท ฮอร์นบิล 0-3 เป็นเหตุให้สิ้นเกมกลางสัปดาห์โตโยต้า ไทยลีก ที่ผ่านมา ทีมที่มีการลงทุนในฤดูกาลนี้มากที่สุดถึง 400 ล้านบาท ต้องรูดลงไปรั้งตำแหน่งรองบ๊วยของตารางในเวลานี้

ฉะนั้นขอนำเสนอบทวิเคราะห์ ว่าเกิดอะไรขึ้นกับ เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด จนเป็นเหตุให้มีการออกสตาร์ทได้ย่ำแย่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของสโมสร

 

 

 

ปัญหาเรื่องสภาพจิตใจ

การเริ่มต้นฤดูกาล 2019 ด้วยความพ่ายแพ้คาสนามเอสซีจี สเตเดี้ยม ต่อ พีที ประจวบ ถือเป็นการส่งสัญญาณแรกที่ไม่ดีนักของแข้ง กิเลนผยอง เพราะนอกจากจะเป็นการแพ้แบบถูกย้ำแค้นแล้ว ยังถูกแฟนบอล สื่อมวลชนวิพากษ์วิจารณ์ให้เกิดเอฟเฟกต์ในแง่ลบ เป็นเหตุให้นักฟุตบอลรู้สึกกดดัน เล่นอย่างไม่มีความสุข ด้วยคำว่าแชมป์ที่แบกอยู่

และความกดดันก็มีเพิ่มขึ้นอีก เมื่อเกมนัดที่สองต้องบุกไปพ่าย ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด ก่อนจะตามด้วย ราชบุรี มิตรผล เอฟซี และล่าสุดกับ ชัยนาท ฮอร์นบิล

 

 

บอลคุมโซนแพ้ทางบอล “เพรสซิ่ง”

เอสซีจี เมืองทอง มักแพ้ทางบอลเพรสซิ่งเร็ว หากเปรียบเป็นมวยต้องบอกว่าพวกเขาออกอาการผิดปกติให้เห็น เพราะโดยปกติ กิเลนผยอง มักเล่นบอลคุมโซนเพราะด้วยชื่อชั้นนักเตะที่เหนือกว่า หากว่าสามารถครองเกมได้ก็รอแค่เวลาที่จะทุบคู่แข็งเท่านั้น แต่ยามใดที่เจอบอลวิ่งเพรสซิ่งเข้าใส่เร็ว บีบ กดดันสูง จะเล่นผิดพลาดกันง่ายๆ จนถูกโต้กลับและเสียประตูง่ายๆ

 

 

นักฟุตบอลขาดความกระหาย

4 เกมที่ เอสซีจี เมืองทอง พ่ายแพ้ในฤดูกาลนี้ ทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า พวกเขามีสถิติการวิ่งที่น้อยกว่าคู่แข่ง นั้นหมายถึงว่าทั้ง พีที ประจวบ, ทรู แบงค็อก, ราชบุรี มิตรผล และชัยนาท ฮอร์นบิล มีความกระหายในการเล่น การหายในชัยชนะมากกว่า อย่างในเกมล่าสุด หลัง กิเลนผยอง เสียประตูที่สองให้กับ ชัยนาท นักเตะหลายคนมีการถอนใจให้เห็น จนเป็นเหตุให้เสียประตูที่สาม

 

 

เฮแบร์ตี้ เฟอร์นานเดซ ถูกจับตาย

นับเป็นฤดูกาลที่ เฮแบร์ตี้ เฟอร์นานเดซ ออกสตาร์ทได้เงียบที่สุด นับตั้งแต่เขาย้ายมาค้าแข้งในเมืองไทยตั้งแต่ปี 2016 เมื่อ 6 นัดล่าสุดยิงไปเพียง 1 ประตู และ 1 แอสซิสต์ เมื่อเจ้าของฉายา “เดอะแบกแห่งเมืองทอง” ฉายฟอร์มไม่ออก ก็ส่งผลโดยตรงกับทีม

มีหลายนัดที่ เฮแบร์ตี้ เล่นหลายจังหวะจนทำให้เกมรุกทีมไม่ไหลลื่น สไตล์การเล่นเดิมๆ แต่งบอลเข้าซ้ายทางเดียวจนถูกจับตายได้ อย่างเกมล่าสุดทุกสื่อพากันยกนิ้วให้กับ ฉัตรมงคล ทองคีรี ห้องเครื่องตัวรับวัยเพียง 21 ปีของ ชัยนาท ฮอร์นบิล ที่วิ่งตัดเกมและจับตาย เฮแบร์ตี้ จนเล่นไม่ออก

 

 

บารมีโค้ชไม่ถึง

ประเด็นนี้เริ่มต้นตั้งแต่ เอสซีจี เมืองทอง ตัดสินใจการประกาศแต่งตั้ง “โค้ชเบ๊” ไพโรจน์ บวรวัฒนดิลก เข้ามาคุมทัพ จนถูกฟันธงว่ากุนซือรายนี้จะอยู่คุมทีมได้ไม่เกิน 5 นัด และก็เป็นจริง เพราะประสบการณ์ที่ยังไม่เคยทำทีมใดประสบความสำเร็จมากก่อน และโปรไฟล์ที่มักคุมทีมเล็กแค่พาทีมรอดตกชั้น จึงเหมือนเกาไม่ถูกที่คันสำหรับโจทย์ของ กิเลนผยอง ที่ประกาศคว้าแชมป์สถานเดียว พอตัดสินใจแต่งตั้ง อุทัย บุญเหมาะ ขึ้นมาขัดตาทัพผลงานก็ไปกันใหญ่ ฉะนั้นบารมีโค้ชจึงถือว่าสำคัญมากโดยเฉพาะกับทีมทีนักเตะอีโก้สูงๆอย่าง เมืองทอง

 

 

ผู้เล่นเก่า-ใหม่ยังจูนกันไม่ติด

มองจากรายชื่อนักเตะ เอสซีจี เมืองทอง เหมือนจะดูเหนือกว่าคู่แข่ง แต่พอผู้ตัดสินเป่าเริ่มเกมก็ไม่เป็นอย่างที่คิด เพราะแผนการเล่นยังหาจุดแข็งไม่ได้ โดยเฉพาะเกมรับถือเป็นปัญหาใหญ่ที่ต้องรีบแก้ไข นอกจากนี้ผู้เล่นใหม่ๆที่เพิ่งเสริมเข้ามา อย่าง ดัง วาน ลัม ยังขาดการสื่อสารกับแนวรับ, ศุภนันท์ บุรีรัตน์ ก็ถูกจับไปยืนสูงเล่นเป็นวิงแบ็คมากกว่าสมัยอยู่กับ พัทยา ยูไนเต็ด รวมถึงสามประสานแนวรุกทั้ง ธีรศิลป์ แดงดา, เฮแบร์ตี้ เฟอร์นานเดซ, อ่อง ธู หรือ กรวิทย์ ทะสา ก็เพิ่งถูกจับมาเล่นด้วยกันเป็นปีแรก

 

 

ปัญหาภายในทีม

เรื่องนี้ต้องเกิดขึ้นสำหรับทุกทีม แต่จะมีมากมีน้อยแตกต่างกันไป สำหรับ เอสซีจี เมืองทอง เป็นหนึ่งในทีมที่ผู้บริหารเข้ามาใกล้ชิดกับนักฟุตบอลและโค้ช จนบางครั้งก็ดูวุ่นวายและล้ำเส้นมากจนเกินไป รวมไปถึงเรื่องผลประโยชน์ต่างๆภายในสโมสร จนมีข่าวเรื่องการเปลี่ยนแปลงบุคคลภายในสโมสรอยู่บ่อยครั้ง อาจเป็นปัญหาเรื้อรังให้ลามมาถึงนักฟุตบอลก็เป็นได้