ไม่ใช่แฟนฟุตบอลทุกคนที่จะอินไปกับการเก็บสะสมเสื้อแข่ง แต่สำหรับใครก็ตามที่ชื่นชอบทางด้านนี้ก็จะทำมันอย่างจริงจัง เช่นเดียวกับ Classic Football Shirts ที่ได้แปรเปลี่ยนความคลั่งไคล้ส่วนตัวกลายมาเป็นธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ
ย้อนไปก่อนหน้า ฟุตบอลโลก 2006 สองหนุ่มจากเมืองแมนเชสเตอร์กำลังเข้าสู่ปีสุดท้ายของการเรียนระดับมหาวิทยาลัย ดั๊ก เบียร์ตัน ได้นำเอาเสื้อฟุตบอลเก่าๆ ที่เขาสะสมเอาไว้มาขายผ่านทาง อีเบย์ เพื่อดำรงชีพให้อยู่รอดในช่วงท้ายๆ ของการเรียน ถือเป็นโชคดีอยู่เหมือนกันที่เขากับ แม็ตต์ เดล ยังไม่รู้อนาคตของตัวเองว่าเรียนจบแล้วจะไปทำมาหากินอะไรดี ก็เลยเริ่มมีความคิดที่จะเก็บสะสมเสื้อฟุตบอลเป็นคอลเลคชั่นเล็กๆ เอาไว้เต็มห้องพักนักศึกษา ก่อนที่จะนำออกไปขายเพื่อสร้างรายได้ และในช่วงซัมเมอร์ของปีนั้นเอง เว็บไซต์ของพวกเขาก็ถือกำเนิดขึ้น
“เราก่อตั้งมันมาตั้งแต่ปี 2006 ครับ มันเริ่มมาจากตัวผมกับ ดั๊ก ตอนนั้นเรายังหางานที่เหมาะๆ ทำกันไม่ได้ เราก็เลยตัดสินใจนำเอาความคลั่งไคล้ของเราที่เกี่ยวกับการเก็บสะสมเสื้อฟุตบอลมาแปรเปลี่ยนเป็นธุรกิจเสียเลย” เดล หนึ่งในผู้ก่อตั้ง Classic Football Shirts เริ่มต้นเผยเรื่องราวแบบสุดพิเศษกับ MThai Sports
“มันใช้เวลานานอยู่เหมือนกันกว่าที่เราจะมากันได้ถึงจุดนี้ เราต้องใช้เงินทั้งหมดในการเก็บสะสมเสื้อฟุตบอลจนกลายเป็นคอลเลคชั่นขนาดใหญ่ ก็ถือว่าโชคดีที่มีผู้คนชื่นชอบในการสะสมเช่นกัน และก็มาซื้อเสื้อกับเรา จนทำให้เรามาไกลได้ขนาดนี้ มีเสื้อฟุตบอลในคลังถึงครึ่งล้านตัว”
“มันก็เป็นเรื่องยากอยู่นะครับในการที่จะทำให้งานอดิเรกกลายมาเป็นธุรกิจที่จริงจัง แต่เราก็มีความคิดในแบบที่เป็นธุรกิจอยู่บ้างเหมือนกัน ในทุกวันนี้เราก็มีทางเลือกที่จะไม่ขายเสื้อบางตัว แต่ถ้าย้อนไปในสมัยอดีต เราจำเป็นต้องขายเสื้อทุกตัวที่เรามี แม้ว่ามันอาจจะมีความพิเศษสำหรับเราก็ตาม เราจำเป็นต้องขายมัน เพื่อให้ได้ทุนเข้ามาซื้อเสื้อเข้าคลังให้มากขึ้น”
“สำหรับผมแล้วบางทีมันก็ไม่ได้เหมือนกับว่าเป็นการทำงานหรอกครับ ผมตั้งใจใช้เวลากับมันด้วยความมุ่งมั่น เพราะโดยหลักมันก็เป็นสิ่งที่คุณทำด้วยความสนุกอยู่แล้ว”
คำว่าโชคดีในความหมายของ เดล นั้น ไม่ใช่ว่าเขากับ ดั๊ก จะนั่งอยู่เฉยๆ เพื่อรอคอยให้โชคนั้นเดินทางมาถึง พวกเขาจำเป็นต้องเสาะแสวงหาโชคกันเองด้วย เหมือนอย่างตอนที่ทั้งคู่ได้รับข่าวลือมาว่าสโมสรดังอย่าง เอซี มิลาน ได้เก็บสต็อคเสื้อแข่งของนักเตะตลอด 15 ปีหลังเอาไว้ในโกดัง จึงไม่รอช้าที่จะไปดีลกับทีมรอสโซเนรี่เพื่อดูดเอาสินค้ากว่า 100,000 ชิ้นมาไว้ในคลังของพวกเขาทันที ซึ่งสินค้าที่ว่าก็มีหลากหลายมาก ไล่ไปตั้งแต่กางเกงในของ เดวิด เบ็คแฮม ไปจนถึงเสื้อแมตช์วอร์นของ อันเดรย์ เชฟเชนโก้
เดล ได้เล่าถึงเรื่องนี้ว่า “มันค่อนข้างแปลกอยู่เหมือนกันนะ พวกเขามีเสื้อฟุตบอลตั้งกว่า 60,000 ตัวเก็บเอาไว้ที่โกดังเมื่อปี 2010 เราจึงได้มองเห็นว่านี่แหละคือโอกาสที่ดีในการดีลโดยตรงกับทางสโมสร มันเป็นเรื่องดีอยู่แล้วเมื่อเราได้พูดคุยกับทางสโมสรโดยตรง และเราก็ได้มาเจอกับ เอซี มิลาน ซึ่งตอนนั้นเป็นยุคที่ โรนัลดินโญ่ ยังเล่นกับพวกเขาอยู่”
“นอกเหนือไปจาก เอซี มิลาน แล้ว ทุกวันนี้เราก็มีดีลกับสโมสรอื่นๆ อยู่ด้วยเหมือนกันครับ ส่วนใหญ่ก็เป็นสโมสรหลักเท่าที่คุณจะนึกถึงได้ในยุโรป ไม่ว่าจะเป็น บาร์เซโลน่า, เรอัล มาดริด, ลิเวอร์พูล, ท็อตแน่ม, แมนฯ ยูไนเต็ด อะไรประมาณนี้”
กุญแจสำคัญของธุรกิจเสื้อฟุตบอลคลาสสิคก็คือความชื่นชอบของผู้คนที่มีความหลากหลาย หากว่าคุณเป็นคนที่ไม่ได้ติดตามวงการลูกหนัง คุณก็อาจจะมองว่ามันเป็นเพียงแค่เสื้อฟุตบอลเก่าๆ ตัวหนึ่ง ซึ่งจะเอาไปใส่ก็ไม่ได้ เพราะมันจะขาดวิ่นเอา แต่สำหรับใครก็ตามที่มีความคลั่งไคล้ในกีฬาชนิดนี้ มันก็เป็นไปได้ที่เสื้อแข่งบางตัวจะมีความหมายเป็นอย่างมากสำหรับเขา ต่อให้ดีไซน์ของมันอาจจะดูเชยระเบิดก็ตามทีหากมองย้อนไปจากยุคสมัยนี้
“เสื้อฟุตบอลในนิยามของเราน่ะเหรอครับ? มันก็เป็นเรื่องยากที่จะอธิบายอยู่นะ ผมคิดว่าเสื้อฟุตบอลมันสามารถเป็นอะไรก็ได้ มันมีความหมายที่แตกต่างกันออกไปสำหรับแต่ละคน ผมคิดว่าเสื้อฟุตบอลที่ดีก็จะต้องมีความทรงจำพิเศษ, ใส่โดยนักเตะพิเศษ หรือมีเหตุการณ์พิเศษเกิดขึ้น ผมคิดว่านี่แหละคือนิยามของเสื้อฟุตบอลคลาสสิค มันขึ้นอยู่กับความหมายของมันครับ”
เดล ให้คำนิยามเสื้อฟุตบอลในความคิดของเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเสื้อแข่งคลาสสิคที่มีความแตกต่างออกไปพอสมควรกับทุกวันนี้
“ผมมองว่ามันเป็นเรื่องของความทรงจำนะครับ ผมคิดว่ามันมีความหมายที่มากมายหลากหลายกว่าเสื้อฟุตบอลสมัยใหม่ ซึ่งทุกวันนี้มันก็เปลี่ยนแปลงไปมากทีเดียว ดีไซน์ของมันก็ไม่ได้มีความเป็นเอกลักษณ์สักเท่าไหร่ ขณะที่เสื้อฟุตบอลในสมัยก่อนจะดูมีความหมายในตัวของมันเองมากกว่านี้ ด้วยดีไซน์ที่มีความพิเศษเฉพาะตัว มันมีเรื่องราวเบื้องหลังเสื้อตัวนั้นๆ นั่นแหละที่ทำให้ผมคิดว่าเสื้อฟุตบอลคลาสสิคมีความหมายสำหรับใครหลายๆ คน”
สุดยิ่งใหญ่กับงานนิทรรศการ Classic Football Shirts Museum
Classic Football Shirts Museum เป็นงานนิทรรศการเกี่ยวกับเสื้อฟุตบอลคลาสสิคที่จัดขึ้นโดย classicfootballshirts.co.uk ซึ่งเป็นเว็บไซต์ขายเสื้อฟุตบอลที่ใหญ่ที่สุดในโลกจากประเทศอังกฤษ โดยจะเป็นการรวบรวมเอาคอลเลคชั่นเสื้อฟุตบอลหายาก และมีประวัติที่น่าสนใจมาจัดแสดงให้แฟนฟุตบอลได้ชมกันอย่างใกล้ชิด และได้รับรู้ถึงประวัติของเสื้อฟุตบอลแต่ละตัว โดยก่อนหน้านี้ก็เคยจัดงานมาแล้วในหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็นอังกฤษ, รัสเซีย, สหรัฐอเมริกา, อิตาลี และล่าสุดที่ประเทศไทย ซึ่งถือว่าเป็นประเทศแรกในทวีปเอเชีย
เกี่ยวกับงานที่จัดขึ้นที่ห้างสรรพสินค้า ดิ เอ็มควอเทียร์ ในครั้งนี้ เดล ได้กล่าวว่า “เราเคยจัดงานแบบนี้มาแล้วครับ แต่ก็ไม่ได้ใช้ชื่อเดียวกัน ตอนนั้นเราใช้ชื่อว่า Fabric Football มาครั้งนี้เราตัดสินใจที่จะให้มันมีเสื้อฟุตบอลคลาสสิคมากกว่าเดิม มันไม่ใช่แค่งานนิทรรศการแล้ว แต่มันคือพิพิธภัณฑ์ ซึ่งนี่ก็เป็นครั้งแรกที่เราจัดในรูปแบบของพิพิธภัณฑ์ แม้ว่ามันจะค่อนข้างคล้ายกับงาน Fabric Football ที่เราเคยจัดมาก่อนก็ตาม”
“ก่อนหน้านั้นเราเคยจัดงานนิทรรศการที่เล็กกว่านี้ เป็นงานเกี่ยวกับฟุตบอลโลก เป็นเสื้อแข่งทีมชาติที่เคยไปร่วมแข่งขันในฟุตบอลโลก แต่มาครั้งนี้มันก็จะมีเสื้อแข่งจากหลากหลายสโมสร, ทีมที่เคยร่วมแข่งขัน แชมเปี้ยนส์ ลีก รวมไปถึงเสื้อแข่งที่น่าสนใจจากประเทศไทยด้วยเช่นกัน มันเยี่ยมไปเลยที่ได้เห็นผู้คนให้ความสนใจกันมากขนาดนี้”
“สาเหตุที่มาจัดงานที่ประเทศไทยก็เพราะว่าที่นี่มีแฟนฟุตบอลเยอะมากๆ ที่ทวีปเอเชียนี่ถือว่าเป็นตลาดใหญ่สำหรับเราเลยนะครับ เห็นได้จากผู้คนที่ติดต่อเราเข้ามาอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นทางอีเมล์หรือทางอินสตาแกรม ขณะที่คนไทยก็มีตั้ง 50 คนได้แล้วที่มาเยือนโกดังของเราที่แมนเชสเตอร์ ดังนั้นมันก็เลยเป็นเรื่องดีที่เราจะได้มาเยือนกรุงเทพบ้าง ได้พบปะกับแฟนๆ ของเรา ได้จัดแสดงเสื้อฟุตบอลดีๆ ในคอลเลคชั่นที่เรามีครับ”
สำหรับแฟนฟุตบอลชาวไทยที่อยากสัมผัสกับความยิ่งใหญ่ของเสื้อฟุตบอลคลาสสิค นี่คือโอกาสดีที่จะได้เข้ามาชมกันอย่างจุใจ ด้วยเสื้อแข่งหายากกว่า 400 ตัวที่ถูกนำมาจัดแสดงในวันที่ 25-28 เมษายนนี้ ที่ห้าง ดิ เอ็มควอเทียร์
ไม่แน่ว่าคุณอาจค้นพบพาสชั่นในตัวเกี่ยวกับเสื้อฟุตบอล เหมือนอย่าง เดล และ เบียร์ตัน ในสมัยที่พวกเขายังเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยก็เป็นได้