การทดสอบร่างกายเป็นด่านสุดท้ายที่นักเตะทุกคนจะต้องผ่านก่อนทำการย้ายทีม กระบวนการก็ไม่ได้มีรูปแบบที่ตายตัวขึ้นอยู่กับแต่ละสโมสรว่าจะกำหนดให้เป็นแบบไหน อย่างในปี 2014 ที่ โลอิค เรมี่ กองหน้าชาวฝรั่งเศสย้ายทีมไม่สำเร็จเพราะตรวจร่างกายกับ ลิเวอร์พูล ไม่ผ่าน แต่ต่อมาไม่นานกลับผ่านการทดสอบร่างกายกับ เชลซี นอกจากนี้การตรวจร่างกายยังแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่นักเตะคนนั้นเล่น อย่างเช่น การตรวจร่างกายผู้รักษาประตูจะแตกต่างกับผู้เล่นตำแหน่งกองหน้า ผู้รักษาประตูอาจจะมีการตรวจเน้นไปที่ร่างกายท่อนบนมากกว่านักเตะตำแหน่งอื่น แต่อย่างไรก็ตามการตรวจร่างกายมีหลักอยู่หกอย่างที่นักเตะทุกคนต้องทดสอบ
ตรวจหัวใจ
นักเตะจะถูกตรวจการทำงานของหัวใจด้วยเครื่องตรวจคลื่นหัวใจไฟฟ้า ต้องถูกซักถามประวัติสุขภาพ และอาจรวมไปถึงการตรวจปัสสาวะเพื่อตรวจหาโรคอย่างเช่น เบาหวาน
ตรวจการเคลื่อนไหว
ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนที่นักกายภาพของสโมสรสามารถคาดการณ์อาการบาดเจ็บที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตของนักเตะคนนั้น โดยจะมีการทดสอบกล้ามเนื้อแต่ละส่วนของนักเตะว่ามีการทำงานสัมพันธ์กันอย่างไรซึ่งสามารถระบุได้ว่าจุดไหนจะนำไปสู่อาการบาดเจ็บได้
ตรวจกล้ามเนื้อ
กล้ามเนื้อแฮมสตริงคือกล้ามเนื้อขาด้านหลัง เป็นจุดที่นักฟุตบอลได้รับบาดเจ็บกันบ่อย นักกายภาพจะตรวจเช็คในบริเวณนี้รวมไปถึงกล้ามเนื้อหลังส่วนล่างโดยการให้นักเตะทำท่า Squat หรือ Lunge ซึ่งเป็นท่าย่อขาสลับกับยืดตัวตรง
ตรวจไขมัน
นักฟุตบอลยุคใหม่ต้องมีความทรหดกว่านักเตะรุ่นเก่า การตรวจกล้ามเนื้อไร้ไขมัน(Lean)จึงเป็นส่วนสำคัญในการตรวจร่างกายนักเตะ ซึ่งอาจทำได้จากการตรวจด้วยเครื่องรุ่นใหม่หรือด้วยการใช้เครื่องหนีบแบบเก่า(Calliper) โดยทั่วไปนักฟุตบอลอาชีพควรมีไขมันประมาณ 10% ของร่างกาย
ตรวจความเร็วในการวิ่ง
นักฟุตบอลจำเป็นต้องเคลื่อนที่ตลอด 90 นาที การทอดสอบนี้จะทำให้รู้ว่านักเตะมีความเร็วระดับไหน มาตรฐานของนักเตะในลีก แชมเปี้ยนชิพ และ พรีเมียร์ลีก ควรทำให้ได้ไม่เกิน 3 วินาทีในการสปรินท์ระยะ 20 เมตร
ตรวจเข้มในโรงพยาบาล
ถ้านักเตะคนนั้นมีประวัติอาการบาดเจ็บรบกวนมาก่อน อาจจะมีการตรวจร่างกายที่ละเอียดกว่านี้ที่โรงพยาบาล ตัวอย่างเช่น การอัลตร้าซาวด์ เพื่อให้เห็นภาพของ กล้ามเนื้อ ข้อต่อ กระดูก โดยละเอียด