ชนะ 1 เสมอ 1 แพ้ 1 เก็บได้ 4 แต้ม ได้ 3 ประตู เสีย 5 ประตู… นี่คือ 3 นัดสุดท้ายการแข่งขันฟุตบอลเอเชียนคัพ ที่เคยเกิดขึ้นของ ทีมชาติไทย เมื่อปี 2007
ปัจจุบันผ่านมา 12 ปี คู่ต่อกรของทีมชาติไทย ปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัย และเราต้องแปรสภาพจากเจ้าบ้านในอดีต กลายเป็นทีมร่วมกลุ่มกับ “เจ้าภาพ” นั่นคือการอยู่กลุ่มเอ ร่วมกับ สหรัฐอาหรับเอเมิเรตส์, บาห์เรน และ อินเดีย
นี่คือการแข่งขันที่มีเป้าหมายในการเก็บ 4 แต้มเป็นอย่างน้อย เพื่อการันตีการผ่านเข้ารอบน็อคเอาท์ ในฐานะอันดับสามที่ดีที่สุด ตามทฤษฎีของโปรแกรมการแข่งขันที่กำหนดในเบื้องต้น และทัพช้างศึกจะทำผลงานได้ดีขนาดไหน เมื่อนัดแรกต้องพบกับ อินเดีย ที่ตั้งเป้าเก็บ 3 คะแนนจาก ทีมชาติไทย เช่นกัน
แข่งขันวันที่ 6 มกราคม 2562
สนาม : อัล นาห์ยาน สเตเดียม, กรุงอาบูดาบี, เวลา 20.30 น.
ถ่ายทอดสดทาง ช่อง 7 HD
ทีมชาติไทย
ช้างศึก เคยมีผลงานดีสุดคือการคว้าอันดับ 3 ในปี 1972 (47 ปีที่แล้ว) แต่สถานการณ์ล่าสุดต้องถูกถาโถมไปด้วย แรงกดดัน, คำด่าทอ ในโลกโซเชี่ยล หลังการตกรอบรองชนะเลิศเอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2018 ฉะนั้นความคาดหวังของแฟนบอลชาวไทยมีค่อนข้างสูง หากตกรอบแรก นั่นหมายความว่า เหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นเมื่อครั้งทัวร์นาเมนท์ล่าสุด จะกลับมาซ้ำรอยอีกครั้ง
ด้านความพร้อม มิโลวาน ราเยวัช พาทีมเดินทางมาประเทศยูเออี ตั้งแต่วันที่ 30 ธันวาคม 2561 แม้จะลงเล่นเกมอุ่นเครื่องกับ โอมาน ได้ไม่สวยนัก แต่สภาพความพร้อมถือว่าสมบูรณ์ เนื่องจากมี สรานนท์ อนุอนิทร์ ที่ยังมีอาการบาดเจ็บเล็กน้อย ส่วนแกนหลักที่เหลืออยู่กันครบ นำโดย 3 แข้งดีกรีเจลีก อย่าง ธีรศิลป์ แดงดา กองหน้ากัปตันทีม, ชนาธิป สรงกระสินธ์ และธีราทร บุญมาทัน
ทีมชาติอินเดีย
อดีตพวกเขาเคยทำผลงานดีสุด คือการคว้ารองแชมป์ ในปี 1964 (55 ปีที่แล้ว) หากสู่ยุคใหม่ อินเดีย เป็นทีมที่มีพัฒนาการมากที่สุดในเอเซียใต้ นับตั้งแต่ปี 2016 พวกเขาเคยเสียประตูให้คู่แข่งมากถึง 9 ลูกจากการลงเล่นเพียง 7 นัด แต่ปี 2017 อินเดียกลับเสียประตูให้คู่แข่ง 7 ลูกจาก 9 นัด และปีต่อมาพวกเขาเสียเพียงแค่ 9 ลูกจากทั้งหมด 12 นัด ซึ่งนับว่าลดลงเรื่อยๆในแต่ละปี แถม 2 ใน 3 เกมล่าสุดคือการเก็บคลีนชีตได้จาก จีน และ โอมาน ที่ถลุงไทยในเกมอุ่นเครื่องมา 2 ประตู
“ฟุตบอลถ้าคุณไม่เสียประตู คุณก็ไม่ใช่ผู้แพ้” นี่คือปรัชญาการทำทีมของ “กุนซือจอมพเนจร” ฉายาที่บรรดาสื่อและกูรูฟุตบอลต่างตั้งให้โค้ชสตีเฟ่น คอนสแตนติน นายใหญ่ทีมชาติอินเดีย ที่ยกพลลูกทีมมาถึงแผ่นดินยูเออีเป็นชาติแรก พร้อมด้วยกำลังหลักอย่าง กูร์พรีท ซิงห์ สันธุ และสุนิล ชเฮตรี ดาวซัลโซสูงสุดตลอดกาลของทีม
11 ตัวแรกที่คาดว่าจะลงสนาม
ทีมชาติไทย
ฉัตรชัย บุตรพรหม (GK)
ทริสตอง โด , เฉลิมพงษ์ เกิดแก้ว, พรรษา เหมวิบูรณ์ , ธีราทร บุญมาทัน
ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์ , ปกเกล้า
อนันต์, อดิศักดิ์ ไกรสร , ชนาธิป สรงกระสินธ์ , สรรวัชญ์ เดชมิตร
ธีรศิลป์ แดงดา(C)
ทีมชาติอินเดีย
กูร์ปีต ซิงห์ สันธุ (GK)
ปริตาม โคทัล , ซานเดช จินกัน , อนัส เอดาโทดิกา , สุภาซิช โภส
อุดันทา ซิงห์ , โปรนาย ฮัลเดอร์ , อนิรุธ ทาปา , ฮาลิจารัน นาร์ซารี
สุนิล ชเฮตรี (C) , เจเจ ลัลเปคลัว
Head 2 Head
– 21 ครั้งที่พบกัน ทีมชาติไทย มีสถิติที่เหนือกว่า โดยชนะ 11 นัด เสมอ 6 นัด เเละเเพ้ 4 นัด
โดยนัดล่าสุดที่ทั้งสองพบกัน ต้องย้อนไป 9 ปีที่เเล้ว ที่ทีมชาติไทยเฉือนเอาชนะไปได้ 2-1 ในนัดอุ่นเครื่องกระชับมิตร
– ล่าสุดที่ ทีมชาติไทย เสียท่าให้กับ ทีมชาติอินเดีย ต้องย้อนกลับไปในรายการ เมอร์เดก้า คัพ ในปี 1986 ที่แพ้ไปด้วยสกอร์ 1-3