LiverPool manchester united ลิเวอร์พูล แมนยู

“ลิเวอร์พูล VS. แมนยูไนเต็ด”… ศัตรูตลอดกาลแห่งวงการลูกหนัง

และแล้วแดงเดือดแมทช์สุดท้ายของฤดูกาลนี้ก็มาถึงโดยศึกครั้งนี้นอกจากจะมีเรื่องของศักดิ์ศรีแล้ว สถานการณ์บนตารางพรีเมียร์ลีกก็คงบีบบังคับให้ทั้ง 2 สโมสรน่าจะใส่กันแบบดุเดือดไฟแลบเพราะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยังต้องการคะแนนเพื่อต่อลมหายใจเล็ก ๆ ในการลุ้นแชมป์ลีกครั้งที่ 21 ของพวกเขาส่วน ลิเวอร์พูล ก็ต้องการทำแต้มเพื่อลุ้นเข้าไปเล่นในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ฤดูกาลหน้า…

Home / SPORT / “ลิเวอร์พูล VS. แมนยูไนเต็ด”… ศัตรูตลอดกาลแห่งวงการลูกหนัง

และแล้วแดงเดือดแมทช์สุดท้ายของฤดูกาลนี้ก็มาถึงโดยศึกครั้งนี้นอกจากจะมีเรื่องของศักดิ์ศรีแล้ว สถานการณ์บนตารางพรีเมียร์ลีกก็คงบีบบังคับให้ทั้ง 2 สโมสรน่าจะใส่กันแบบดุเดือดไฟแลบเพราะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยังต้องการคะแนนเพื่อต่อลมหายใจเล็ก ๆ ในการลุ้นแชมป์ลีกครั้งที่ 21 ของพวกเขาส่วน ลิเวอร์พูล ก็ต้องการทำแต้มเพื่อลุ้นเข้าไปเล่นในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ฤดูกาลหน้า ดังนั้นเพื่อเป็นการโหมโรงก่อนเกมหยุดโลกดังกล่าวทันเกมจึงอยากจะมาเล่าว่าทำไม 2 สโมสรนี้ถึงไม่ค่อยชอบหน้ากันซักเท่าไหร่

1.   เรื่องของปากท้อง

อันที่จริงความเป็นอริของทั้ง 2 สโมสรไม่ได้มีจุดเริ่มต้นจากเหตุผลทางด้านฟุตบอลแต่การแก่งแย่งชิงดีกันในด้านเศรษฐกิจต่างหากที่เป็นเหตุผลแท้จริงสำหรับความเป็นปฏิปักษ์กันซึ่งมีจุดเริ่มต้นตั้งแต่ช่วงปฏิวัติอุตสาหกรรม โดยในขณะนั้นเมือง แมนเชสเตอร์ ถือเป็นเมืองที่โด่งดังในเรื่องอุตสาหกรรมสิ่งทอส่วน ลิเวอร์พูล ด้วยสภาพภูมิศาสตร์จึงส่งผลให้เมืองกลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญของประเทศซึ่งทำให้หลาย ๆ เมืองรวมถึงเมือง แมนเชสเตอร์ ต้องพึ่งพาเมือง ลิเวอร์พูล ในการนำเข้าส่งออกสินค้า ด้วยเหตุนี้ ลิเวอร์พูล จึงมีความสำคัญสำหรับเศรษฐกิจเมืองผู้ดีจนถูกมองว่าเป็นเมืองใหญ่ที่สุดรองจากมหานครลอนดอนในช่วงเวลานึง

อย่างไรก็ตามได้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญใน ค.ศ. 1894 หลังจากกลุ่มพ่อค้าในเมือง แมนเชสเตอร์ ตัดสินใจร่วมทุนขุดคลองเดินเรือ แมนเชสเตอร์ เพื่อให้เรือขนส่งสินค้าเข้ามาที่เมืองได้โดยตรงรวมถึงยังช่วยลดการจ่ายภาษีนำเข้าส่งออกที่ต้องจ่ายให้แก่เมืองลิเวอร์พูล ซึ่งการกระทำดังกล่าวถือเป็นจุดกำเนิดของความเกลียดชังระหว่างทั้ง 2 เมืองหลังจากที่ชาวเมืองลิเวอร์พูลสูญเสียรายได้และงานเป็นจำนวนมากหลังจากเรือขนส่งสินค้าและกิจกรรมทางการค้าต่าง ๆ ในด้านตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศย้ายไปอยู่ที่ แมนเชสเตอร์

2.       ชอบผลัดกันขัดแข้งขัดขา

ต้องยอมรับว่าในช่วงเวลาที่ผ่านมาทั้ง ลิเวอร์พูล และ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เป็น 2 ทีมที่ผลัดกันขึ้นมาครองความยิ่งใหญ่และสร้างประวัติศาสตร์อย่างมากมายในวงการลูกหนังเมืองผู้ดี อย่างไรก็ตามตลอดการเดินทางของทั้ง 2 สโมสร มันก็มีเหตุการณ์ทางฟุตบอลหลายเหตุการณ์ที่เหล่าแข้งหงส์แดงและปีศาจแดงสร้างความเจ็บปวดรวดร้าวได้โดยตรงให้แก่คู่อริตลอดกาลของพวกเขา

เริ่มต้นที่ฤดูกาล 1893/1894 แมนยูไนเต็ดหรือในชื่อ นิวตัน ฮีธ เดิมจบฤดูกาลเป็นอันดับสุดท้ายของดิวิชั่น 1  ส่วน ลิเวอร์พูล จบฤดูกาลด้วยการเป็นแชมป์ไร้พ่ายในศึกดิวิชั่น 2 ซึ่งในตอนนั้นทีมอันดับสุดท้ายของดิวิชั่น 1 กับทีมแชมป์ดิวิชั่น 2 ต้องมาเล่นเพลย์ออฟเพื่อหาทีมที่จะได้เล่นในดิวิชั่น 1 ในฤดูกาลถัดไป ท้ายที่สุดผลการแข่งขันออกมาเป็น ลิเวอร์พูล ที่ได้ขึ้นมาเล่นในลีกสูงสุดหลังจากเอาชนะนิวตัน ฮีธ ได้ 2-0 ด้วยชัยชนะดังกล่าวรวมถึงความไม่พอใจหลังเหตุการณ์ขุดคลองเดินเรือ แมนเชสเตอร์ ที่เพิ่งผ่านไปสด ๆ ร้อน ๆ ก็ยิ่งทำให้ชาวเมือง ลิเวอร์พูล รู้สึกสะใจเข้าไปใหญ่หลังเห็นคู่อริต่างเมืองโดนถีบร่วงไปเล่นในลีกที่ต่ำกว่าด้วยน้ำมือของพวกเขาเอง

ถัดมาในช่วงทศวรรษที่ 70 ลิเวอร์พูลถือเป็นทีมมหาอำนาจในเกาะอังกฤษด้วยการคว้าแชมป์ลีกสูงสุด 6 สมัย, แชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ  2 สมัย และแชมป์เอฟเอคัพ 1 สมัย ซึ่งอันที่จริงมันคงจะยิ่งใหญ่กว่านี้ถ้าเหล่าพลพรรคปีศาจแดงไม่ได้มาขวางทางพวกเขาในฤดูกาล 1976/1977 หลังจากลูกทีมของบ๊อบ เพสลี่ย์มีลุ้นเทรเปิ้ลแชมป์ในฤดูกาลนั้นแต่ท้ายที่สุดก็โดนทำให้ฝันค้างโดยเป็นแมนยูไนเต็ดที่สามารถเอาชนะพวกเขาได้ในศึกเอฟเอ คัพรอบชิงชนะเลิศด้วยสกอร์ 2-1  (เรื่องราวเพิ่มเติมของการเจอกันของทั้ง 2 ทีมในศึกเอฟเอคัพ)  นอกจากนี้ถึงแม้ลิเวอร์พูลยังคงครองความยิ่งใหญ่อย่างต่อเนื่องจนถึงทศวรรษที่ 80 แต่พลพรรคปีศาจแดงก็ดูเหมือนเป็นของแสลงสำหรับทีมเร้ด แมชชีนหลังจากในช่วงเวลานั้นลิเวอร์พูลสามารถเอาชนะแมนยูไนเต็ดในลีกได้แค่ใน ค.ศ 1982 และ ค.ศ. 1988 หรือแค่ 2 ครั้งเท่านั้น

ในทางกลับกันเหตุการณ์แบบนี้ก็เหมือนกลับมาหลอกหลอน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด โดยลิเวอร์พูลก็คอยมาสร้างความรำคาญใจให้พวกเขาเช่นเดียวกันหลังจากแมนยูไนเต็ดภายใต้การคุมทีมของเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสันก้าวขึ้นมาครองความยิ่งใหญ่ในช่วงทศวรรษที่ 90 ต่อยุคปี 2000-2010 โดยมีเหตุการณ์เด่นๆไม่ว่าจะเป็นฟรีคิกสุดสวยของแดนนี่ เมอร์ฟี่ย์ที่ยิงดับปีศาจแดงคาโอล์ด แทรฟฟอร์ด ในปี 2000 หรือ ลูกยิงตีนระเบิดของ ยอห์น อาร์เน รีเซ่ ที่ตะบันใส่ฟาเบียน บาร์กเตซ ในปี 2001 แต่เหตุการณ์ที่น่าจะสร้างความคับแค้นใจให้กับเหล่าเร้ด อาร์มี่มากที่สุดก็คงหนีไม่พ้นเกมส์ที่พลพรรคหงส์แดงบุกมาถล่มทีมของพวกเขาได้ถึงโรงละครแห่งความฝันถึง 1 ประตูต่อ 4 ในฤดูกาล 2008/2009 แถมนักเตะที่แฟนบอลหงส์แดงเองยังไม่ค่อยจะรักอย่างอันเดรีย ดอสเซน่ายังมาทำประตูสุดสวยได้อีกด้วย ดังนั้นตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาก็ดูเหมือนทั้ง 2 สโมสรจะมาคอยขัดลาภไม่ให้อีกฝ่ายครองความยิ่งใหญ่ได้อย่างสบายใจ

3.       อารมณ์ร่วมของเหล่านักเตะ

ด้วยความเป็นศัตรูกันอย่างมายาวนาน ความรู้สึกเกลียดชังของทั้ง 2 สโมสรก็ได้ถูกถ่ายทอดไปสู่เหล่านักเตะผู้ซึ่งมีอิทธิพลสำคัญในการเพิ่มชนวนความร้อนแรงให้ลงไปถึงกลุ่มแฟนบอลและเป็นการตอกย้ำว่า 2 ทีมนี้คงไม่มีทางญาติดีกันได้แน่ๆ

โดยถ้าหากพูดถึง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ชื่อของแกรี่ เนวิลล์ ก็คงเป็นชื่อแรกที่แฟนบอลนึกถึงถ้าพูดถึงความเกลียดชังที่มีต่อ ลิเวอร์พูล โดยเหตุการณ์ที่ตราตรึงใจหลาย ๆ คนก็คงเป็นเหตุการณ์ในปี 2006 ที่เขาวิ่งไปจูบตราสโมสรบนหน้าอกเสื้อของตนเองต่อหน้าเหล่าเดอะค็อปหลังจากริโอ เฟอร์ดินานด์ โขกประตูชัยให้ทีมชนะ ลิเวอร์พูล ได้ในช่วงนาทีสุดท้ายของการแข่งขัน ซึ่งนั่นก็ส่งผลให้เนวิลล์โดนปรับเงินเป็นจำนวน 5,000 ปอนด์ อย่างไรก็ตามสิ่งที่น่าแปลกใจคืออดีตแบ็กขวากัปตันทีมปีศาจแดงผู้นี้ไม่รู้สึกสำนึกผิดกับการกระทำที่เกิดขึ้นแถมยังพูดอีกว่า “มันเป็นการตัดสินที่แย่มากเพราะในฐานะนักฟุตบอลไม่ว่าจะเป็นผมหรือคนอื่น ๆ ต่างก็ไม่ใช่หุ่นยนต์ที่จะไม่สามารถแสดงออกถึงอารมณ์หรือความรู้สึกร่วมในเกมส์ได้” นอกจากนี้เขายังเคยพูดต่อหน้าสาธารณชนว่า “ผมไม่สามารถทนอะไรที่เกี่ยวข้องกับ ลิเวอร์พูล ได้เลย” และแน่นอนแฟนบอล ลิเวอร์พูล ก็ไม่ชอบอดีตแบ็คขวาทีมชาติอังกฤษรายนี้เช่นเดียวกัน

ถ้าข้ามฟากมายังฝั่งลิเวอร์พูล คนที่น่าจะมีอารมณ์ร่วมกับความเป็นปฏิปักษ์ระหว่าง 2 สโมสรมากที่สุดก็คงจะหนีไม่พ้นกองกลางระดับตำนานอย่างสตีเว่น เจอร์ราร์ดโดยเขาเคยให้สัมภาษณ์ว่า “ผมถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เด็กว่าต้องเกลียดแมนยูไนเต็ดและความคิดนี้มันก็หยั่งลึกลงไปในสมองและจิตวิญญาณของผมรวมถึงแฟนบอล ลิเวอร์พูล ทุกคน” โดยเขายังกล่าวเสริมอีกว่า “ผมมีคอลเลคชันเสื้อที่แลกกับนักเตะทั่วโลกแต่เสื้อสโมสรเดียวที่ผมจะไม่มีวันแลกก็คือเสื้อของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด” นอกจากนี้การกระทำในสนามก็ดูจะสอดคล้องกับสิ่งที่เขาพูดหลังจากที่กัปตันเจิดเป็นนักเตะลิเวอร์พูลที่โดนใบแดงมากที่สุดในศึกแดงเดือดร่วมกับฮาเวียร์ มาสเคราโน่เป็นจำนวน 2 ใบ โดยเหตุการณ์ใบแดง 38 วินาทีในฤดูกาล 2014 / 2015 ก็ถือเป็นหนึ่งเหตุการณ์สุดคลาสสิคในเกมส์แดงเดือดที่แฟนบอลอย่างเรา ๆ สามารถเอาไปเล่ากันได้จนถึงรุ่นลูก รุ่นหลาน

ท้ายที่สุดการมีผลแพ้ชนะในเกมส์นี้น่าจะเป็นการพังเป้าหมายที่ตั้งไว้ในลีกฤดูกาลนี้ของฝั่งตรงข้ามโดยทันที ดังนั้นเหล่าแฟนบอลของทั้ง 2 ทีมก็คงจะได้เห็นเกมส์ที่ดุเดือดและใส่กันไม่ยั้งอย่างแน่นอน

ติดตามเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ ทันเกม  tungame.co