รู้ทันสัญญาณลำไส้แปรปรวน ภัยใกล้ตัววัยทำงานที่ไม่ควรมองข้าม!

หลายคนอาจเคยมีอาการผิดปกติของระบบทางเดินอาหาร เช่น ปวดท้อง ท้องเสีย หรือมีปัญหาเกี่ยวกับท้องไส้ติดต่อกันนานๆ โดยไม่ได้สังเกตอาการตัวเอง และคิดว่าเป็นเพียงอาการท้องเสียธรรมดา หรือในบางรายอาจปวดท้องจนอยากเข้าห้องน้ำ หลังขับถ่ายอาจเป็นได้ทั้งรู้สึกดีขึ้นหรือแย่ลงกว่าเดิม รวมถึงกินยาแล้วไม่หาย จนส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน แต่จริงๆ แล้วอาจเป็นสัญญาณความผิดปกติของระบบทางเดินอาหาร มาดูกันว่าอาการ สาเหตุ และวิธีดูแลตัวเองเมื่อเป็นลำไส้แปรปรวนอย่างเหมาะสม
สาเหตุของลำไส้แปรปรวนเกิดจากอะไร?
อาการลำไส้แปรปรวน ถึงแม้จะเป็นโรคที่ไม่ได้มีสาเหตุร้ายแรง แต่ก็ไม่สามารถระบุสาเหตุได้ชัดเจน อาจเกิดจากสาเหตุต่างๆ ดังนี้
- ลำไส้ใหญ่บีบตัวผิดปกติ เกิดการเกร็งหรือบีบตัวรุนแรงคล้ายตะคริว ทำให้รู้สึกปวดเกร็งในช่องท้อง
- ภาวะร่างกายย่อยอาหารบางชนิดได้ไม่ดี หรือไวต่ออาหาร อาจเกิดจากอาการแพ้อาหาร
- ลำไส้ไวต่อความรู้สึกเกินไป เป็นอาการที่ลำไส้ตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้นมากเกินไป แต่ไม่มีการบีบตัวผิดปกติ
- ความเครียดและปัญหาสุขภาพจิต อาจทำให้ลำไส้ตอบสนองไวขึ้นและเกิดอาการปวดได้
- การติดเชื้อในทางเดินอาหาร ที่มักพบหลังติดเชื้อ เช่น แบคทีเรียที่ก่อให้เกิดอาหารเป็นพิษ ไข้รากสาด
- ผลข้างเคียงจากการใช้ยาบางชนิด
อาการลำไส้แปรปรวนที่ควรรู้ทัน!
ลำไส้แปรปรวนมักมีอาการที่สามารถสังเกตได้ เช่น ปวดท้องลักษณะบีบเกร็ง หรือตื้อๆ อึดอัด ในบริเวณท้องส่วนล่าง โดยอาการความรุนแรงจะแตกต่างกันไปในแต่ละคน บางคนอาจปวดมาก หรือบางคนอาจปวดน้อย การขับถ่ายผิดปกติ ทั้งท้องเสีย ท้องอืด ท้องผูก ความถี่ในการขับถ่ายที่ผิดไปจากเดิม บางคนอาจขับถ่ายถี่มากขึ้นหรือน้อยลง รวมถึงสีของอุจจาระที่เปลี่ยนไป เช่น ถ่ายเป็นสีเขียว นอกจากนี้ อาจมีอาการอื่นๆ ที่ดูไม่เกี่ยวข้องกับระบบทางเดินอาหาร เช่น อยากปัสสาวะบ่อยขึ้น ปวดประจำเดือน ปวดหัว อ่อนเพลีย นอนไม่หลับ โดยอาการลำไส้แปรปรวนอาจเป็นๆ หายๆ ต่อเนื่องนาน ตั้งแต่หลายสัปดาห์ จนถึงหลายเดือน ถึงแม้อาการลำไส้แปรปรวนอาจไม่ร้ายแรง แต่ส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ทำให้บางครั้งอาจต้องลางาน หรือขาดเรียนได้ ในกรณีที่มีอาการรุนแรงมากๆ จำเป็นต้องพบแพทย์เพื่อทำการรักษาต่อไป
ลำไส้แปรปรวนแก้ได้! รวมวิธีรักษาที่ทำได้จริง
ด้วยอาการและความรุนแรงของลำไส้แปรปรวนนั้นมีหลากหลาย แตกต่างกัน ทำให้การรักษาจึงมีหลากหลาย โดยวิธีรักษาที่ใช้กันในปัจจุบัน ดังนี้
ปรับพฤติกรรม
เริ่มจากดูแลสุขภาพ รับประทานอาหารให้เป็นเวลา พักผ่อนอย่างเพียงพอ ออกกำลังกายเป็นประจำ และหลีกเลี่ยงการดื่มสุรา และสูบบุหรี่
ปรับนิสัยการรับประทานอาหาร
หนึ่งในสาเหตุสำคัญมาจากปัญหาการย่อย โดยลองหลีกเลี่ยงอาหารบางประเภท ได้แก่ อาหารกลุ่มนม อาหารที่ทำให้เกิดลมในท้อง หรือแก๊สในลำไส้ เช่น ถั่ว กะหล่ำปลี ลูกเกด กล้วย ลูกพรุน ถั่วงอก แป้งสาลี และอาหารที่ย่อยยาก เช่น ผักหรือเนื้อบางชนิด ของมัน ของทอด โดยแพทย์อาจแนะนำ Low FODMAP Diet (กลุ่มอาหารที่ส่งเสริมน้อย หรือไม่ส่งเสริมการเจริญเติบโตของแบคทีเรียในลำไส้) เพื่อช่วยลดอาการลำไส้แปรปรวน และทานอาหารที่มีกากใยหรือไฟเบอร์สูง เพื่อช่วยให้ลำไส้บีบตัวได้ดีขึ้น เช่น เผือก มันหวาน นมที่ไม่มีแล็กโทส
ลดความเครียด
ความเครียด วิตกกังวล หรือภาวะซึมเศร้าเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดอาการลำไส้แปรปรวน จึงควรปรึกษาจิตแพทย์หรือผู้ชำนาญการด้านสุขภาพจิตเพื่อบรรเทาอาการให้ดีขึ้น
รักษาด้วยยา
อาจต้องใช้ยาหลายประเภท เพื่อรักษาตามอาการและตามการตอบสนอง เช่น ใช้ยาช่วยให้ลำไส้คลายตัว สำหรับผู้ที่มีอาการบีบเกร็งของลำไส้มากกว่าปกติ ใช้ยาที่ช่วยให้อุจจาระนุ่มขึ้นสำหรับผู้ที่มีอาการท้องผูก
อาการลำไส้แปรปรวน เป็นอาการความผิดปกติที่เกิดขึ้นในระบบทางเดินอาหารที่ถึงแม้จะมีอาการไม่รุนแรง แต่ก็ไม่ควรมองข้าม จึงควรสังเกตอาการตัวเองอย่างสม่ำเสมอ เช่น อาการปวดท้องแบบตื้อๆ บริเวณท้องส่วนล่าง ท้องเสียสลับกับท้องผูก อุจจาระเป็นสีเขียว ความถี่ในการขับถ่ายเปลี่ยนไป โดยสามารถดูแลรักษาได้ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ออกกำลังกายสม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงอาหารบางประเภท เช่น นม ถั่ว ของมัน ของทอด จัดการความเครียด และการรักษาด้วยยา รวมถึงการเลือกทานอาหารที่มีไฟเบอร์สูง เพื่อสุขภาพของระบบทางเดินอาหารที่ดีขึ้น แข็งแรง ใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข ไม่ต้องนั่งปวดท้องอีกต่อไป