เรียกว่าเป็นร้านอาหารสแปนิชอันดับหนึ่งในย่านราชพฤกษ์จริงๆ สำหรับ “Bodegas Wine”(โบเดกาส ไวน์) ที่การันตีโดยมิชลินไกด์ 3 ปีซ้อน ในปี 2021 – 2023 รางวัล Thailand’s Favourite Restaurants 2024 และรางวัล Restaurants from Spain certification 2024 จากกระทรวงพาณิชย์ โดย ICEX Spain Export and Investment และในปีนี้ โบเดกาส ไวน์ ได้ปรับรูปโฉมและคอนเซปต์ใหม่ทั้งร้าน เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองครบรอบ และเป็นการแนะนำเมนูพิเศษที่รังสรรค์ขึ้นใหม่ในฤดูกาลนี้ พร้อมชูวัตถุดิบส่งตรงจากสเปน และเราเพิ่มการใช้วัตถุดิบจากท้องถิ่นของประเทศไทยมาผสมผสานเพื่อช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจท้องถิ่นและลดผลกระทบของมลพิษจากการขนส่งวัตถุดิบ พร้อมใช้วัตถุดิบทุกอย่างให้เกิดประโยชน์สูงสุด แบบ Zero Waste เพื่อตอกย้ำ คอนเซ็ปต์ในการบริหารร้านที่ต้องการให้เป็น Sustainability Restaurant อย่างแท้จริง
คุณจันทร์เพ็ญ เจียมสมัย หรือ คุณเล็ก ผู้ก่อตั้ง Bodegas Wine ฉายภาพย้อนไปให้ฟังว่า เดิมทีคุณเล็กทำธุรกิจเกี่ยวกับพลังงานทดแทน และนำเข้าเครื่องจักรจากปรเทศสเปน กว่า 20 ปี ทำให้ได้มีโอกาสเดินทางไปยังสเปนอยู่บ่อยๆ จากการเดินทางบ่อยๆ ทำให้หลงรักและหลงใหลในอาหารสเปน ทำให้คุณเล็กคุ้นชินและชื่นชอบอาหารสเปนมากขึ้น แต่เมื่อ 10 กว่าปีที่แล้วที่ประเทศไทยหาร้านอาหารและไวน์สเปนรสชาติแบบต้นตำหรับทานยาก จึงเริ่มนำเขาวัตถุดิบ อาหาร และไวน์จากสเปน หลังจากนั้นจึงริเริ่มมีความคิดอยากที่จะทำร้านอาหารสเปน ที่สามารถทำเมนูที่คุณเล็กอยากกิน จึงเป็นจุดเริ่มต้นในการทำร้าน โบเดกาส ไวน์ ขึ้น โดยวัตถุดิบที่นำเข้ามาเอง ส่งตรงมาจากสเปน คุณเล็กเชื่อว่า รสชาติของอาหารที่ดีเริ่มต้นจากการเลือกใช้วัตถุดิบที่มีคุณภาพ ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญในการรังสรรความอร่อยให้กับทุกเมนู ด้วยเหตุนี้ ทุกจานที่เสิร์ฟให้กับลูกค้าจึงไม่เพียงแต่เต็มไปด้วยรสชาติที่ยอดเยี่ยม แต่ยังมอบความรู้สึกเหมือนได้ทานอาหารจากคนในครอบครัว ที่ใส่ใจและทำด้วยความรัก
คอนเซ็ปต์ของ Bodegas Wine คือ อยากนำอาหารจากหลากหลายเมืองของสเปน ให้เข้าใจง่ายและถูกปากคนไทย จึงนำเสนออาหารสเปนในรูปแบบเมนูฟิวชั่น บรรยากาศภายในร้านเน้นการตกแต่งให้มีความ Classy และเรียบหรูเมื่อก้าวเข้ามาในร้าน ชั้น 1 จัดเป็นโซนที่นั่งสบาย ๆ ใช้โทนสี Etoupe ให้มีกลิ่นอายของไวน์บาร์บรรยากาศชิลล์ ๆ และมีโซนห้องเก็บไวน์นานาชนิดที่ทางร้านคัดสรรมาจากทุกเมืองของสเปนเพื่อมอบประสบการณ์การดื่มด่ำรสชาติอาหารคู่กับไวน์ได้ดีที่สุด ส่วนชั้น 2 ตกแต่งในสไตล์ลักซ์ชูรีใช้โทนสี Earth Tone เพิ่มความเรียบหรู ผสานกับสีขาวที่ให้ความรู้สึกโปร่งโล่ง ตัดด้วยสีดำและทองเพื่อเติมเสน่ห์อันโดดเด่นและความ Classy ที่ลงตัว ให้ความรู้สึกอบอุ่นและโรแมนติก และ Luxury นั่งทานได้อย่างได้เป็นกันเอง สำหรับเมนูที่ไม่ใช่เพียงใช้วัตถุดิบพรีเมียมจากสเปนเท่านั้น แต่ยังครีเอทให้แต่ละจานมีเรื่องราวอีกด้วย อาทิ
- TxangurroFusion (เนื้อปูม้าและมันปูผัดกับซอสสูตรพิเศษของเชฟ) เมนูนี้ได้แรงบันดาลใจจากเมนูปูอบไสตล์บาสก์ ซึ่งปกติทำจากเนื้อปูสไปเดอร์ โดยทางร้านนำทำเป็นเมนูฟิวชันโดยใช้เนื้อปูม้าสดใหม่จากเกาะลันตา เป็นการผสมผสานระหว่างวัตถุดิบ เนื้อปูม้า ไข่ปู และมันปู ผัดกับซอส หอมใหญ่ เซเลอรี่ แครอท มะเขือเทศจนเข้มข้น เพิ่มเท็กซ์เจอร์ความกรอบด้วยเกร็ดขนมปังไข่เค็ม มายองเนสปู และพูเล่พริกหวาน เสริมให้จานเป็นสตาร์ทเตอร์ที่เปิดรสชาติพร้อมรับเมนูอื่นๆ ต่อ
- ตามมาด้วยพาสต้าจานอร่อย Seasonal Fish & Scallop Khao Soi (ข้าวซอยปลาและหอยเชลล์) เมนูนี้มีการนำเครื่องเคียงมาแยกองค์ประกอบให้ดูแปลกใหม่ขึ้นเพิ่มมิติและรสชาติใหม่ ด้วยเลม่อนเจลลี่ หอมแดงดอง และเปลี่ยนจากเส้นหมี่กรอบเป็นหอมทอดกรอบ ตัวซอสปรุงด้วยหัวกระทิ กระดูกปลา และเครื่องแกงข้าวซอย ใช้วิธีการปรุงแบบเวสเทิร์น และใช้วิธีการดองผักกาดเขียวแบบดั้งเดิม แต่เพิ่มแร่ธาตุด้วยน้ำแร่ Font dor ในการทำทำให้ผักกรอบและมีรสชาติดี
- ในส่วนของ Main Dish มีทั้ง Chicken Earth (ขาไก่ซอสต้นกระเทียมและซอสทรัฟเฟิล) เป็นเมนูที่มีส่วนผสมหลักเป็นไก่ท้องถิ่นจากฟาร์มที่โคราช ที่เลี้ยงแบบ Free Range โดยไม่ใช้สารเคมีและให้อาหารออร์แกนิก โดยเชฟนำไก่มา Dry Age นาน 5 วัน เพื่อให้ได้เนื้อที่นุ่ม ก่อนนำมาซูวีและทอดจนกรอบนอกนุ่มใน โดยมีการสอดไส้ด้วยแอปริคอตเพื่อเพิ่มรสชาติ เสิร์ฟพร้อม Leek Foam และ ซอสทรัฟเฟิล เพื่อความอร่อยที่ลงตัว
- และ Main Dish อีกเมนู ได้แก่ Collar Spice (สันคอหมูดำ Iberico เครื่องเทศ และซอสสูตรพิเศษ) จะใช้หมูดำ Iberico ส่วน Collar หรือว่าสันคอที่มีไขมันแทรก นำไป Sousvide ที่อุณหภูมิ 75 องศา กับ ปรุงด้วยชอสเข้มข้นในรูปแบบของสไตล์ Bodegas เป็นเวลา 12 ชั่วโมง ทำให้มีกบิ่นหอมของเครื่องเทศสไตล์เอเชีย ทานู่กับ Vegetable Terrine และ Jamon ball ที่ยัดไส้ด้วย Bacon Jam จึงทำให้รสชาติของจานนี้กลมกล่อมและลงตัวด้วยความเปรียวหวานของหอมแดง และA Jad Jelly
ส่วนเมนูซิกเนเจอร์ของร้าน ที่ไม่ควรพลาดเมื่อได้มีโอกาสมาเยือน ได้แก่ Jamon Iberico หรือที่เรียกกันว่า Iberico Ham เป็นแฮมที่มีคุณภาพดีจนขึ้นแท่นเป็นแฮมที่ดีที่สุดและราคาแพงที่สุดของโลกอีกด้วย ความพิเศษและรสชาติที่ไม่เหมือนใครนี้ ต้องใช้ระยะเวลายาวนานกว่า 2 ปี ในการเลี้ยงดูด้วยวิถีธธรรมชาติ มีพื้นที่ให้วิ่งเล่นแบบอารมณ์ดี และกินอาหารเฉพาะผลเอคอร์น (Acorn) ที่ตกลงมาจากต้นเท่านั้น ซึ่งลูกโอ๊กนี้เองที่ทำให้ Iberico มีรสหวานนุ่มและมีกลิ่มที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวไม่เหมือนใคร และอีก 2 เมนูที่ได้รับการบรรจุในมิชลินไกด์ คือ Paella de Gambas ที่ทางร้านนำข้าวไปหุงบนกะทะ กับน้ำสต้อก Lobster มีวัตถุดิบหลักได้แก่ กุ้งแดงอาร์เจนติน่า, Cuttle fish, Blue Mussel หยดด้วยซอสสีขาว Galic-Mayo, ซอสสีแดงเป็น Red Bell Pepper Puree รับรองว่าถ้าได้ลองต้องอยากซ้ำอย่างแน่นอน, อีกเมนูที่บรรจุในมิชลินไกด์ Iberico Wellington ใช้เป็นหมูดำ Iberico ส่วน Tendeloin เป็นส่วนที่ไม่มีไขมัน แต่นุ่มละมุน มี Mushroom Duxelles โดยนำเห็ดไปผัดกับไวน์ขาวจนแห้ง ในส่วนชั้นถัดมาจะมีส่วนผสมของ Cold Cut Jam ช่วยตัดกับรสชาติ และเพิ่มมิติรสชาติให้กับ Wellington มากขึ้น ในส่วนของชั้นถัดมาจะเป็น Spinach Crepe ด้านนอกจะห่อด้วยแป้ง Puff Pastry หรือว่าแป้งพายนั้นเอง ทานคู่กับซอส Trufle Pork Jus
Bodegas Wine ยังคงคอนเซ็ปต์ในการบริหารร้านที่ต้องการให้เป็น Sustainability Restaurant ให้มากที่สุด โดยเน้นย้ำในเรื่องใช้วัตถุดิบทุกอย่างให้เกิดประโยชน์สูงสุด แบบ Zero Waste รวมถึงการใช้พลังงานสะอาดที่นำระบบ Energy Management มาใช้จัดการพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อเดินหน้าสู่ร้านอาหารที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รายละเอียดเพิ่มเติมในการสำรองที่นั่ง ได้ที่ 061-407-8222 หรือติดตามข้อมูลได้ที่ ได้ที่ https://www.facebook.com/bodegaswine