“อยากให้เว็บไซต์ของคุณเป็นที่รู้จักและติดหน้าแรก Google ง่ายๆ ไหม?” แค่ปรับเปลี่ยนวิธีเล็กๆ ก็สามารถพาเว็บไซต์ของคุณให้ติดหน้าแรก Google และเพิ่มยอดผู้เข้าชมได้มหาศาล หากคุณอยากให้เว็บของคุณเป็นที่รู้จัก SEO คือเครื่องมือที่คุณต้องเริ่มเรียนรู้ตั้งแต่ตอนนี้
การทำธุรกิจในปัจจุบันต้องพึ่งพาโลกออนไลน์อย่างมาก การที่ต้องมีเว็บไซต์ที่ติดอันดับหน้าแรกของ search engine ถือเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงลูกค้าและเพิ่มยอดขาย บทความนี้ผู้เขียนจะพาคุณไปทำความเข้าใจกับพื้นฐาน SEO อย่างง่าย ๆ พร้อมกับแนะนำวิธีเริ่มต้นทำให้เว็บไซต์ของคุณสามารถได้รับการจัดอันดับขึ้นสู่บนหน้าแรกของ Google ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ถ้าอยากรู้แล้วไปเริ่มทำความเข้าใจกันเลย
SEO คืออะไร?
SEO ย่อมาจาก (Search Engine Optimization) เป็นกระบวนการปรับแต่งเว็บไซต์ให้เหมาะสมกับการค้นหาของ search engine ในที่นี้รวมถึงบน Google เพื่อให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับในการแสดงผลการค้นหาของผู้ใช้งาน ซึ่งมักจะเกี่ยวข้องกับขั้นตอนการออกแบบและการใช้เนื้อหาบนเว็บไซต์ที่มีคุณภาพ เช่น การเลือกใช้คำสำคัญ (keyword) การปรับโครงสร้าง URL และเพิ่มประสิทธิภาพของเว็บไซต์ เป็นขั้นตอนที่จะช่วยเพิ่มการเข้าชมเว็บไซต์ให้ธุรกิจของคุณเป็นที่รู้จักมากขึ้น และสามารถดึงดูดลูกค้าใหม่ๆ จนช่วยเพิ่มโอกาสทำยอดขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
SEO vs SEM
ด้านข้อแตกต่างหลักระหว่างการปรับแต่งเว็บไซต์ให้ติดอันดับบนเครื่องมือการค้นหา (SEO) และการตลาดผ่านเครื่องมือค้นหาหรือ (SEM) นั่นก็คือ SEO จะมุ่งเน้นไปที่การเพิ่มประสิทธิภาพเว็บไซต์สำหรับการค้นหาทั่วไปของผู้ใช้โดยตรง ในขณะที่ SEM จะมีทั้งการค้นหาทั่วไปและการซื้อโฆษณาแบบเสียค่าใช้จ่ายเพื่อดึงดูดปริมาณการเข้าชมผ่าน Ads ต่างๆ ซึ่งทั้งสองอย่างก็มีข้อดีและข้อสังเกตุต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับการปรับใช้กับเว็บไซต์และช่องทางการทำธุรกิจของคุณ
SEO ทํางานอย่างไร? และทำไมการทำ SEO ถึงสำคัญ
SEO คืออะไรมีการทำงานหลักๆ ยังไง? การทำ SEO มุ่งเน้นไปที่การปรับแต่งเว็บไซต์ของเราให้มีคุณภาพและเหมาะสมกับการค้นหาของเครื่องมือค้นหาโดยส่วนใหญ่จะอิงจาก Google Algorithm ซึ่งเป็นชุดของกฎและขั้นตอนที่ Google ใช้ในการจัดอันดับเว็บไซต์ในผลการค้นหา Google Algorithm จะประเมินหลายปัจจัยเพื่อกำหนดว่าเว็บไซต์ใดควรปรากฏในอันดับต้นๆ ซึ่งประกอบด้วยหลายส่วนสำคัญได้แก่
ขอบคุณภาพจากบทความ What Is A Search Engine?-reliablesoft
1.Crawling (การเก็บข้อมูล)
เครื่องมือค้นหาจะใช้โปรแกรมที่เรียกว่า “Crawlers” หรือ “Spiders” เพื่อไปยังเว็บไซต์ต่างๆ และเก็บข้อมูลจากหน้าเว็บนั้นๆ ซึ่งจะมีทั้งข้อความ รูปภาพ และลิงก์ต่างๆ บนหน้าเว็บไซต์เพื่อใช้ในการดึงข้อมูลในอนาคต
2.Indexing (การจัดทำดัชนี)
หลังจากเก็บข้อมูลแล้ว ข้อมูลเหล่านั้นจะถูกจัดเก็บในฐานข้อมูลที่เรียกว่า “ดัชนี” หรือ “Index” ซึ่งคล้ายกับสารบัญในหนังสือ การจัดทำดัชนีนี้จะช่วยให้เครื่องมือค้นหาสามารถค้นหาและเรียกข้อมูลจากหน้าเว็บได้รวดเร็วขึ้น
3.Processing Queries (การประมวลผลคำค้นหา)
เมื่อผู้ใช้พิมพ์คำค้นหาลงในเครื่องมือค้นหา ระบบจะประมวลผลคำสำคัญและเปรียบเทียบกับดัชนีที่ได้จัดเก็บไว้เพื่อหาความเกี่ยวข้องของแต่ละเว็บเพจว่าเกี่ยวกับเว็บไซต์ประเภทไหน หมววดหมู่ไหนบ้าง
4.Ranking (การจัดอันดับ)
เมื่อคำสำคัญถูกประมวลผลแล้ว เครื่องมือค้นหาจะจัดอันดับให้กับเว็บไซต์ที่มีความเกี่ยวข้องมากที่สุดตามเกณฑ์ต่างๆ เช่น คำสำคัญ (Keywords) ความเชื่อมั่นของเว็บไซต์ การเชื่อมโยงจากเว็บไซต์อื่นๆ (Backlinks) และคุณภาพของเนื้อหาการจัดอันดับนี้จะช่วยให้ผู้ใช้ได้รับผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและเกี่ยวข้องที่สุดกับคำถาม
รูป Organic Click Through Rate by Position (Google) จาก Backlinko
ทำไมการทำ SEO ถึงสำคัญ?
อ้างอิงจากข้อเท็จจริงที่เว็บไซต์ forbes.com นำเสนอในบทความ “60 SEO Statistics” ระบุว่า “ผู้ใช้ไม่ถึง 1% ที่จะกดเข้าชมผลการค้นหาในหน้าที่สอง เพราะเมื่อผู้ใช้ค้นหาข้อมูลก็มักจะเลือกตัวเลือกที่อยู่ในอันดับต้นๆ เสมอซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกที่มีผู้ใช้งานเพียง 0.44% เท่านั้นที่คลิกผลการค้นหาหน้าสองของ Google ดังนั้น การที่เว็บไซต์ของคุณติดหน้าแรกสำหรับคำสำคัญ (Keyword) ที่เกี่ยวข้องจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้เว็บไซต์ติดอันดับต้นๆ บน Google” อีกทั้งยังมีข้อดีให้กับส่วนของ SEO คือ
- เพิ่มการมองเห็นและการเข้าถึงลูกค้าใหม่
การทำ SEO ช่วยให้เว็บไซต์ของธุรกิจปรากฏในผลการค้นหาของ Google ซึ่งเป็นช่องทางหลักที่ผู้คนใช้ในการค้นหาสินค้าและบริการ การติดอันดับสูงในผลการค้นหาช่วยให้ธุรกิจเข้าถึงลูกค้าใหม่ๆ ที่กำลังค้นหาสิ่งที่คุณเสนอ เพิ่มโอกาสในการสร้างลูกค้ารายใหม่ - ลดต้นทุนการตลาด
การทำ SEO คือที่มีต้นทุนต่ำเมื่อเทียบกับการโฆษณาผ่านช่องทางอื่นๆ เช่น การซื้อโฆษณาแบบ Pay-Per-Click (PPC) หรือโฆษณาผ่านโซเชียลมีเดีย เมื่อเว็บไซต์ได้รับการจัดอันดับสูงและมองเห็นได้ง่าย จะช่วยลดค่าใช้จ่ายในการโฆษณาและส่งเสริมการเติบโตทางธุรกิจในระยะยาว - สร้างความน่าเชื่อถือและความไว้วางใจ
เว็บไซต์ที่ติดอันดับสูงในผลการค้นหามักได้รับการมองว่าเป็นแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้และมีคุณภาพ การทำ SEO ที่เน้นเนื้อหามีคุณภาพและประสบการณ์ผู้ใช้ที่ดีจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นในแบรนด์ ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญในการดึงดูดและรักษาลูกค้า - ผลลัพธ์ที่ยั่งยืนและระยะยาว
SEO คือการช่วยให้เว็บไซต์ของเราได้รับการจัดลำดับสูงและสามารถคงอันดับนี้ไว้ได้นาน เมื่อเว็บไซต์ของเราติดอันดับดีแล้ว ผลลัพธ์นี้สามารถยืดหยุ่นและมีประโยชน์ในระยะยาวโดยเอเจนซี่รับทำ SEO คือการไม่ต้องจ่ายเงินเพิ่มอย่างต่อเนื่องเหมือนการโฆษณา PPC
ควรเริ่มต้นทํา SEO ตอนไหนดีที่สุด?
การเริ่มทำ SEO ควรเริ่มตั้งแต่แรกเมื่อคุณสร้างเว็บไซต์ คอนเทนต์หรือเริ่มพัฒนาเว็บไซต์ใหม่ เพราะ SEO คือการปรับแต่งที่ต้องใช้เวลาในการเห็นผลให้ขึ้นหน้าแรก การวางแผน SEO คือสิ่งที่สำคัญตั้งแต่ต้นจะช่วยให้ การทำเว็บไซต์ของคุณมีโครงสร้างเพื่อให้รองรับกับอัลกอริทึ่มของ Google ได้ดีขึ้น รวมถึงการสร้างเนื้อหาคุณภาพและลิงก์ย้อนกลับ (Backlink) ที่มีประสิทธิภาพเพราะยิ่งเริ่มต้นเร็วเท่าไหร่ก็เท่ากับทำเว็บไซต์ให้มีโอกาสในการติดอันดับที่ดีในระยะยาว และช่วยให้สามารถปรับปรุงกลยุทธ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง
วิธีทำ SEO เริ่มทำอย่างไร?
การปรับแต่งเว็บไซต์ให้ติดอันดับการค้นหาใน Google โดยการทำ SEO ไม่ใช่เรื่องที่ยากเกินไป หากคุณเข้าใจหลักการและวิธีการที่ถูกต้อง โดยจะมีสองส่วนหลักที่สำคัญได้แก่ On-Page SEO และ Off-Page SEO ซึ่งการทำงานของทั้งสองส่วนนี้จะทำงานร่วมกันเพื่อเพิ่มโอกาสให้กับการทำอันดับในผลการค้นหาของเว็บไซต์ และช่วยให้เนื้อหาคอนเทนต์บนเว็บไซต์ของคุณสามารถดึงดูดผู้ใช้ได้มากขึ้น ไปดูกันว่าแต่ละส่วนมีวิธีทำอย่างไรกันบ้าง
การทํา On-page SEO
เป็นการปรับแต่งคอนเทนต์เนื้อหาบนหน้าเว็บไซต์ให้มีความเหมาะสมกับทั้งผู้ค้นหาหรือการใช้งานเว็บไซต์และตัวจาก Searching Algorithms เพื่อบอกว่าหน้าเว็บของเกี่ยวข้องกับอะไรบ้างนั่นเอง โดยจะแบ่งวิธีการทำออกเป็น 3 วิธีหลักๆ คือ
1.การทำ Keyword Research
การเลือกคำสำคัญหรือคีย์เวิร์ดเป็นขั้นตอนที่สำคัญในการทำ SEO เนื่องจากคำสำคัญคือสิ่งที่ผู้ใช้พิมพ์ในเครื่องมือค้นหา ก่อนที่คุณจะเริ่มเลือกคีย์เวิร์ด คุณต้องเข้าใจกลุ่มเป้าหมายของคุณโดยให้ความสำคัญกับผู้ใช้ว่า “พวกเขากำลังค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับอะไร พวกเขามีปัญหาหรือคำถามที่คุณสามารถตอบได้หรือไม่ คำถามที่พวกเขามักจะถามเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณคืออะไรบ้าง” ตัวอย่างเครื่องมือที่นิยมสำหรับการทำ Keyword Research ได้แก่ Google Keyword Planner, SEMrush, Ahrefs, Ubersuggest มีทั้งแบบฟรีและแบบที่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเป็นต้น
1.1 การเลือกคีย์เวิร์ดที่เหมาะสม
เมื่อได้คีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องกับเว็บไซต์ของเราแล้ว ขั้นตอนถัดไปคือการเลือก keyword ที่เกี่ยวข้องกับความเหมาะสม โดยพิจารณาจาก
- ปริมาณการค้นหา (Search Volume) จำนวนที่คำนั้นถูกค้นหา keyword ที่เกี่ยวข้องมีการค้นหาสูงบน google มีโอกาสที่ดึงดูดผู้เข้าชมมากขึ้น
- การแข่งขัน (Competition) การแข่งขันในการจัดลำดับของคีย์เวิร์ดนั้นๆ หากคีย์เวิร์ดมีการแข่งขันสูง การจะติดอันดับบน Google อาจจะยากขึ้น
- ความเกี่ยวข้อง (Relevance) keyword ที่คุณเลือกต้องตรงกับเนื้อหาคอนเทนต์ของเว็บไซต์ และควรเป็นคำที่กลุ่มเป้าหมายของคุณใช้ในการค้นหาข้อมูลเป็นหลัก
- พฤติกรรมของผู้ค้นหา (Search Intent) คุณต้องเลือก keyword ที่เกี่ยวข้องสะท้อนถึงความตั้งใจในการค้นหาของผู้ใช้ เช่น ผู้ใช้ที่ค้นหาคำว่า “ซื้อรองเท้าวิ่ง” เป็นผู้ใช้ที่มีแนวโน้มจะซื้อสินค้าแล้ว ในขณะที่คำว่า “วิธีเลือกซื้อรองเท้าวิ่ง” อาจจะเป็นผู้ใช้ที่ต้องการข้อมูลก่อนการตัดสินใจซื้อ
รูปอ้างอิงจาก Keyword Intent – wordstream
2.การสร้างเนื้อหาคุณภาพ
(Quality Content) เป็นหนึ่งในปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการทำ SEO และส่งผลถึงการติดอันดับบน Google โดยที่เนื้อหาที่มีคุณภาพจะมีผลทั้งในด้านประโยชน์ต่อผู้ใช้และเพื่อให้ให้การทำงานของ Search Algorithm สามารถเข้าใจเนื้อหาบนเว็บไซต์ของคุณแสดงผลได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่ตำแหน่งที่ดียิ่งขึ้นในหน้าการค้นหา ซึ่งคุณลักษณะของเนื้อหาที่ดีประกอบไปด้วย
2.1 ข้อมูลที่มีประโยชน์และตอบโจทย์ผู้ใช้
ให้ข้อมูลที่ตอบคำถามหรือแก้ปัญหาของผู้ใช้ได้อย่างครบถ้วนและเพื่อให้ตรงประเด็น มีความละเอียดและครอบคลุมหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับคำค้นหาของผู้ใช้ และมีความน่าเชื่อถือ และแหล่งที่มาที่สามารถอ้างอิงได้ ใช้ Internal Links เพื่อช่วยให้ Search Engine เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างหน้าเว็บไซต์ของคุณ
2.2 ง่ายต่อการอ่าน
(Readability) ปรับปรุงเนื้อหาที่อยู่บนหน้าเว็บไซต์ให้ง่ายต่อการอ่านและการใช้งานทำให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงข้อมูลที่ต้องการได้อย่างรวดเร็วการทำ SEO อาศัยใช้การจัดรูปแบบที่ดี เช่น การแบ่งหัวข้อย่อย (subheadings) ใช้ย่อหน้าเล็กๆ การใช้รายการ (bullet points) หรือการใช้สื่อมัลติมีเดีย (ภาพ อินโฟกราฟิค วิดีโอ) ก็จะช่วยให้เนื้อหาน่าสนใจมากขึ้นโดย
3.การปรับแต่งให้เว็บไซต์ใช้งานง่าย Technical SEO
เว็บไซต์ที่ใช้งานง่ายไม่เพียงแต่ทำให้ผู้ใช้มีประสบการณ์ที่ดี แต่ยังช่วยให้ Google เข้าใจเนื้อหาของเว็บไซต์ได้ดีขึ้นและเพื่อให้เพิ่มโอกาสในการได้ตำแหน่งที่สูงขึ้น
- ออกแบบ UI/UX ที่ชัดเจน (User-Centered Design) ควรมีการออกแบบส่วนแสดงผลที่ดูเรียบง่ายและไม่ซับซ้อน โดยไม่ใช้สีหรือรูปแบบที่ทำให้ผู้ใช้รู้สึกสับสนเมนูนำทาง (Navigation) ควรชัดเจนให้ผู้ใช้สามารถค้นหาข้อมูลที่ต้องการได้อย่างรวดเร็ว
- ความเร็วในการโหลดบนเว็บไซต์ (Page Load Speed) ความเร็วในการโหลดบนเว็บไซต์และการทำงานของภาพรวมช่วยสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ใช้ หากเว็บไซต์โหลดช้า ผู้ใช้ก็จะรู้สึกหงุดหงิดและอาจออกจากเว็บไซต์ไป
- รองรับการใช้งานบนมือถือ (Mobile-Friendly) ของเว็บไซต์ควรปรับขนาดอัตโนมัติให้เหมาะสมกับขนาดหน้าจอของอุปกรณ์ต่างๆ “Responsive Design” เช่น โทรศัพท์มือถือ, แท็บเล็ต หรือคอมพิวเตอร์ โดยเน้นให้เนื้อหา ข้อมูลสำคัญอยู่ในจุดที่มองเห็นง่าย
- ปรับปรุงโครงสร้างบนเว็บไซต์ให้ดี (Website Structure) ใช้ URL ที่สั้น กระชับ และสื่อความหมายหรือใช้ keyword ที่อยู่ใน URL เพื่อช่วยให้ Google เข้าใจเนื้อหาใช้ Content Delivery Network (CDN) เปิดใช้งานการแคช (Browser Caching) ใช้โปรโตคอล HTTPS เพื่อรักษาความปลอดภัยข้อมูล การจัดการไฟล์ Robots.txt การสร้างและส่ง Sitemap ผ่าน Google Search Console เป็นต้น
การจัดการ On-page SEO และการทำ Technical SEO คืออะไรสรุปคือการทำเว็บไซต์ให้มีประสิทธิภาพช่วยให้เว็บไซต์เป็นที่มองเห็นได้ง่ายในผลลัพธ์การค้นหาอีกทั้งช่วยในการเพิ่มการเข้าชมเว็บไซต์ ลดอัตราการออกจากเว็บไซต์ (Bounce Rate) และเพิ่มความพึงพอใจ วิธีการทำ SEO มีส่วนของการทำ seo OFF-page มาดูกันว่ามีขั้นตอนอย่างไรบ้าง
การทํา Off-page SEO
เป็นกระบวนการต่างๆเพิ่มคุณค่าและเพื่อให้ความน่าเชื่อถือของการทำเว็บไซต์ของเราที่เกิดขึ้นภายนอกตัวของเว็บไซต์เอง เพื่อช่วยเพิ่มอันดับในหน้าผลการค้นหาของ search engine เช่น Google โดยมุ่งเน้นไปที่การสร้างความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์ผ่านปัจจัยภายนอกหลักๆ ซึ่งก็จะประกอบไปด้วย
- การสร้าง Backlinks (Link-Building)
Quality Backlinks ใน SEO คืออะไรเป็นอีกปัจจัยสำคัญของการทำ SEO ให้อยู่ในหน้าแรกเพราะการได้รับลิงก์จากเว็บไซต์อื่น (โดยเฉพาะจากเว็บไซต์ที่มีความน่าเชื่อถือสูง) จะช่วยเพิ่มคะแนนคุณภาพของเว็บ (Domain Authority) และอันดับในหน้าการค้นหา (SERPs) ได้โดยตัวอย่างของ Backlinks เช่น ลิงก์อ้างอิงที่ได้รับจากคอนเทนต์ที่น่าเชื่อถือเกี่ยวข้อง ลิงก์จากเว็บไซต์ของเราที่มาจากพันธมิตร หรือ (guest post) โปรดจำไว้ว่าลิงก์ที่มีความเกี่ยวข้องมีความน่าเชื่อถือเท่านั้นที่ส่งผลดีต่อเว็บไซต์ของคุณ หากใช้ Backlink SEO ที่ไม่เป็นธรรมชาติ หรือ ไม่เกี่ยวกับเนื้อหาของเว็บไซต์ของคุณเลยอาจะทำให้ส่งผลเสียต่ออันดับบน Google ได้
ลักษณะของการทำ Backlinks seo ที่มีคุณภาพ
– Anchor Text คำที่ใช้เป็นลิงก์ (Anchor Text) มีผลต่ออันดับ ตัวอย่างเช่น การใช้คำที่สื่อถึง keyword ที่คุณต้องการจัดอันดับ
– DoFollow vs. NoFollow
๐ DoFollow Backlinks: ลิงก์ที่ส่ง PageRank SEO คือการช่วยเพิ่มอันดับใน SERPs ได้อย่างรวดเร็ว
๐ NoFollow Backlinks: ลิงก์ที่ไม่ส่งต่อ PageRank แต่ยังช่วยสร้างการเข้าชมเว็บไซต์ได้เช่น ลิงก์จากการแชร์ ในโซเชียลมีเดียเป็นต้น
–จำนวน Backlinks ที่เป็นธรรมชาติ การมีลิงก์ที่น่าเชื่อถือหลากหลายจากหลายแหล่ง ที่เกี่ยวข้องกับเว็บไซต์ของเรา ช่วยให้เว็บไซต์ของเราดูน่าเชื่อถือในสายตา Google - สร้าง Social Signals
การทำ SEO มีวิธีการอื่นๆ อีกเช่น Social Signals อธิบายง่ายๆ คือการที่เว็บไซต์ของเราหรือคอนเทนต์ได้รับการแชร์ ไลค์ หรือถูกพูดถึงบนโซเชียลมีเดีย เช่น Facebook, Instagram, Twitter(X) และแพลตฟอร์มอื่นๆ ซึ่งถือว่าเป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงความสนใจในสายตาของผู้ใช้งานที่เข้ามา เป็นอีกปัจจัยของ SEO ช่วยเพิ่มโอกาสในการจัดอันดับบนเครื่องมือค้นหา
ควรติดตั้งปุ่มแชร์ไปยังโซเชียลมีเดีย
เช่น Facebook, Twitter(X), และแพลตฟอร์มอื่นๆ บนหน้าเว็บหรือบทความ เพื่อให้ผู้ใช้งานที่เข้ามาสามารถแชร์ได้ง่าย เพราะคอนเทนต์ที่ดีและตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มเป้าหมายจะมีโอกาสถูกแชร์และพูดถึงมากขึ้น เช่น บทความให้ความรู้ อินโฟกราฟิก - Local SEO และ Citation Building
ทั้งสองอย่างเป็นกลยุทธ์สำคัญสำหรับธุรกิจที่ต้องการเพิ่มการมองเห็นในระดับท้องถิ่น เพื่อดึงดูดลูกค้าจากพื้นที่ใกล้เคียงได้ดียิ่งขึ้น
Local SEO – จะเป็นการปรับแต่งเว็บไซต์ที่อยู่ในส่วนของโปรไฟล์ออนไลน์เพื่อเพิ่มการมองเห็นในผลการค้นหาในพื้นที่ใกล้เคียง ตัวอย่างเช่น การทำให้ธุรกิจของคุณปรากฏบน Google Maps หรือในหน้าการค้นหาเมื่อมีคนค้นหาคำว่า “ร้านกาแฟใกล้ฉัน” โดยส่วนมากแล้วใน Google มักจะทำใน Google My Business (GMB) เพิ่มข้อมูลที่สำคัญ เช่น ชื่อธุรกิจ เบอร์โทรศัพท์ เวลาเปิด-ปิด และภาพถ่าย ใช้ keyword ที่เป็นคำสำคัญเฉพาะเกี่ยวข้องกับธุรกิจและพื้นที่ เช่น “ร้านอาหารจีนในเชียงใหม่” เป็นต้น
Citation Building – เป็นส่วน SEO ที่จัดการข้อมูลทางธุรกิจที่สำคัญ (NAP: Name, Address, Phone Number) ในไดเรกทอรีออนไลน์หรือบนเว็บไซต์ให้อยูในเฉพาะท้องถิ่น การเลือกไดเรกทอรี่ (Directories) ที่เหมาะสมสำหรับธุรกิจถือเป็นหัวใจสำคัญของ Citation Building โดยเฉพาะสำหรับธุรกิจในพื้นที่ท้องถิ่น การเลือกไดเรกทอรี่ที่ถูกต้องก็จะช่วยเพิ่มการมองเห็นในสายตาลูกค้าและเพื่อเครื่องมือค้นหาทำความเข้าใจเว็บไซต์ของเราได้ง่ายมากขึ้น
เคล็ดลับในการทำ SEO ให้ประสบความสำเร็จ
เคล็ดลับในวิธีทำ SEO คืออะไรให้อยากประสบความสำเร็จมีอยู่หลายปัจจัยวิธีการแต่หลักๆ แล้วจะมี 3 เรื่องที่สำคัญที่คุณต้องทำนั่นได้แก่
การอัปเดตเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง
การเขียนอัปเดตเนื้อหาใน SEO คืออะไรและเกี่ยวข้องกับผู้ใช้ก็จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณได้รับการจัดอันดับที่ดีขึ้นจาก Google ควรมีการเพิ่มข้อมูลใหม่ ๆ หรือปรับปรุงเนื้อหาที่มีอยู่แล้วให้น่าสนใจและตรงกับคำค้นหาที่ผู้ใช้ต้องการอยู่เสมอ
การปรับเปลี่ยนตามอัลกอริธึมของ Google
Google มีการปรับอัลกอริธึมอยู่เสมอ ดังนั้นคุณควรติดตามการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เพื่อปรับกลยุทธ์ SEO ให้สอดคล้องกับการอัปเดตใหม่ๆ เช่น การปรับปรุง Core Web Vitals หรือการให้ความสำคัญกับการค้นหาผ่านมือถือและให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์จริงๆ กับผู้ใช้นั่นเอง
การวิเคราะห์คู่แข่ง
การศึกษาคู่แข่งเป็นสิ่งที่สำคัญในการเข้าใจว่าพวกเขาทำ SEO อย่างไรและคุณสามารถทำอะไรได้ดีกว่า วิเคราะห์การใช้คำสำคัญ (keywords) เนื้อหาบนเว็บไซต์ ลิงก์ที่ย้อนกลับ (backlinks) และกลยุทธ์การทำการตลาดเพื่อหาจุดแข็งและจุดอ่อนที่คุณสามารถใช้เป็นโอกาสในการปรับปรุง SEO ให้ติดหน้าหนึ่งอยู่เสมอและทันท่วงที
ข้อควรระวังในการทำ SEO
ข้อควรระวังในการทำ SEO คืออะไร การทำงานต้องมีการวางแผนและดำเนินการอย่างรอบคอบ หากใช้วิธีการผิดหรือไม่เหมาะสม อาจทำให้เว็บไซต์เสียอันดับหรือถูกลงโทษจาก Google ได้ ดังนั้นการทำ SEO ควรระวังเรื่องต่อไปนี้
หลีกเลี่ยงการใช้เทคนิค Black Haเน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณt SEO
การทำ SEO วิธีที่ผิดเช่น การเขียนบทความโดยใส่คำสำคัญ (keywords) ซ้ำๆ ไม่เป็นธรรมชาติจนเกินไปอาจทำให้เกิด (Keyword Stuffing)รวมไปถึง การสร้างลิงก์คุณภาพต่ำ (Spammy Backlinks) หรือการซ่อนข้อความ (Hidden Text) อาจส่งผลให้เว็บไซต์ถูกแบนหรืออันดับลดลงอย่างรุนแรงได้
เน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณ
การสร้างเนื้อหา SEO ที่ไม่มีคุณค่ามีการเขียนที่ ซ้ำซาก หรือคัดลอกจากแหล่งอื่น ก็จะทำให้ผู้ใช้งานขาดความเชื่อมั่น และ Google อาจลดอันดับเว็บไซต์ให้กลายเป็นเว็บไซต์ที่ไม่มีคุณภาพ เนื้อหาการเขียน SEO ควรตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้งานและเพิ่มประสบการณ์ที่ดีให้ความสำคัญกับข้อมูลที่ถูกต้องเป็นอันดับแรก
อย่ามุ่งเน้นเฉพาะคำค้นหายอดนิยม
การเลือกคำสำคัญ (keywords) ที่มี Volumne การค้นหาสูงนั้นอาจตามมาด้วยการแข่งขันสูงมาก อาจทำให้เนื้อหาบนเว็บไซต์ เล็กๆ ยากแข่งขัน คุณควรให้ความสำคัญกับ คำค้นหาแบบ (Long-Tail Keywords) ที่เจาะจงและตรงกลุ่มเป้าหมายตามพฤติกรรมผู้ใช้เพิ่มขึ้น เพื่อเพิ่มโอกาสในการสร้างทราฟฟิกจาก SEO ที่มีคุณภาพได้ในระยะยาว
บทสรุป
วิธีทำ SEO คืออะไร (Search Engine Optimization) คือกระบวนการทำให้เว็บไซต์ของคุณโดดเด่นในหน้าการค้นหาของ Google ผ่านการปรับแต่งทั้งในเว็บไซต์ (On-Page SEO) เช่น การเลือกคำสำคัญที่เหมาะสมและการสร้างเนื้อหาที่ตอบโจทย์ผู้ใช้ รวมถึงการสร้างความน่าเชื่อถือจากภายนอก (Off-Page SEO) เช่น การเพิ่ม Backlinks และการมีปฏิสัมพันธ์บนโซเชียลมีเดีย ทุกอย่างนี้ช่วยให้เว็บไซต์ที่ถูกค้นพบง่ายขึ้นและสามารถดึงดูดผู้เยี่ยมชมเพิ่มขึ้น เพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจที่ยั่งยืน
FAQ คำถามที่พบบ่อย
การทำ SEO ใช้เวลานานแค่ไหนถึงจะเห็นผล?
การทำ SEO เป็นกระบวนการที่ใช้เวลาในการปรับแต่งและสร้างคุณภาพเนื้อหาบนเว็บไซต์ โดยทั่วไปอาจใช้เวลาร่วมเดือนในการเห็นผลอย่างชัดเจน ขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของการแข่งขันในตลาดและกลยุทธ์ที่ใช้
SEO จำเป็นสำหรับเว็บไซต์ทุกประเภทไหม?
SEO เป็นกุญแจที่สำคัญสำหรับทุกเว็บไซต์ โดยเฉพาะธุรกิจที่ต้องการเพิ่มการเข้าถึงจากลูกค้าใหม่ การทำ SEO ช่วยให้เว็บไซต์สามารถติดอันดับในหน้าการค้นหาของ Google ซึ่งทำให้เว็บไซต์มีโอกาสในการเติบโตและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้เพิ่มขึ้น
สามารถทำ SEO ได้เองหรือควรจ้างผู้เชี่ยวชาญ?
หากคุณมีความรู้เกี่ยวกับ SEO หรือพร้อมที่จะเรียนรู้ก็สามารถทำ SEO ได้เอง แต่หากเว็บไซต์ของคุณมีการแข่งขันสูงหรือคุณไม่มั่นใจในการทำ SEO เอง การจ้างผู้เชี่ยวชาญหรือบริษัทรับทำ SEO ที่มีประสบการณ์อาจช่วยให้คุณได้ผลลัพธ์ที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
บทความโดย: AsiaSearch.co.th