เข้าสู่หน้าร้อนแบบ 100% และแดดเมืองไทยไม่เคยทำให้ผิดหวังจริงๆ เรียกได้ว่าแค่ก้าวเท้าออกจากบ้าน แสงแดดจ้า รังสี UV สูงๆ และอาการร้อนแสบผิวก็พร้อมมาเยือนแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น หากตากแดดนานๆ บ่อยๆ ปัญหาผิวตามมา ไม่ว่าจะเป็นความหมองคล้ำ ผิวไหม้ เกิดริ้วรอยได้ง่าย ทั้งสิว ฝ้า กระ จุดด่างดำต่างๆ ก็พร้อมมาเยือน นอกจากนี้ยังทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคกระดูกและมะเร็งผิวหนังด้วย! ดังนั้นการทาหรือใช้ครีมกันแดดที่ทำหน้าที่ป้องกันรังสี UV ปกป้องชั้นผิวหนัง พร้อมสะท้อน UV ที่เป็นอันตรายออกไปจากผิวของเราจึงมีความสำคัญมาก และควรจะทาทุกๆ วัน โดยเฉพาะในช่วงหน้าร้อนในเมืองไทยที่แดดจัดมากขนาดนี้
หากต้องทากันแดดทุกวัน สิ่งที่ต้องใส่ใจในการปกป้องผิวจากแสงแดด ไม่ใช่แค่การเน้นปริมาณครีมกันแดดที่ใช้ทาให้มากที่สุดเท่านั้น แต่ต้องใส่ใจในเรื่องของคุณสมบัติ ส่วนผสม รวมถึงวิธีการทาที่ถูกต้องด้วย! เพราะหากเลือกครีมกันแดดที่ไม่ได้คุณภาพ ไม่มีคุณสมบัติปกป้องแสงรังสี UV แม้จะโบกทาไปหนาขนาดไหน ก็อาจปกป้องผิวพรรณเราจากแสง UV ไม่ได้นั่นเอง ในบทความนี้เรามีวิธีการเลือกและทาครีมกันแดดที่ถูกต้องมาฝากทุกคนแล้ว ใครกำลังจะเลือกซื้อครีมกันแดดตัวใหม่ อยากทาครีมกันแดดให้ป้องกัน UV ได้แบบครอบคลุม ตามมาดูกันเลย!
วิธีเลือกครีมกันแดดให้มีประสิทธิภาพ
เลือกครีมกันแดดที่มีค่า SPF 50 ขึ้นไป และค่า PA (+) ควบคู่กัน
ในการเลือกครีมกันแดดเพื่อป้องกันผิวจากแสงแดดเมืองไทย และค่ารังสี UV ที่สูงมาก สิ่งแรกที่สำคัญที่สุด ไม่ว่าแต่ละคนจะมีสภาพผิวแบบไหน ก็คือการเลือกครีมกันแดดที่มีค่า SPF 50 เป็นอย่างต่ำ หรือมีค่าสูงมากกว่านั้น โดยค่า SPF คือค่าที่ช่วยบอกระดับการป้องกันชั้นผิวจากรังสี UVB หากครีมกันแดดมีค่า SPF สูงก็หมายถึงครีมกันแดดตัวนั้นสามารถช่วยปกป้องชั้นผิวเราจากแสงแดดและแสงต่างๆ ได้ค่อนข้างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้อย่าลืมมองหาครีมกันแดดที่มีค่าป้องกันรังสี UVA ด้วย โดยควรมีค่า PA (+) ควบคู่ไปด้วย เพราะรังสี UVA นี้ส่งผลต่อผิวหนังชั้นกำพร้า เป็นตัวการเกิดปัญหาผิวต่างๆ ทำให้เกิดความหมองคล้ำ ฝ้าแดด ผิวไหม้แดด และการระคายผิวหนังได้นั่นเอง
ทริกไม่ลับ : ข้อสังเกตของครีมกันแดดที่สามารถป้องกันได้ทั้งรังสี UVA และรังสี UVB จะมีการระบุไว้บนฉลากผลิตภัณฑ์ว่า “Broad Spectrum”
เลือกครีมกันแดดที่สามารถกันน้ำได้
แดดเมืองไทยไม่ได้ทำให้แค่ร้อนแสบผิวเท่านั้น แต่ยังมาพร้อมกับอุณหภูมิสูงจนทำให้เหงื่อไหลได้ง่าย ดังนั้นการเลือกครีมกันแดดที่สามารถกันน้ำได้จึงเป็นตัวเลือกที่ตอบโจทย์ได้อย่างครอบคลุม เพราะจะช่วยปกป้องผิวจากแสงแดดและรังสี ได้ในขณะที่ผิวของเราเปียกน้ำ หรือขณะที่มีเหงื่อ อีกทั้งยังทำให้กันแดดติดทนมากขึ้น ไม่ไหลเยิ้มง่ายๆ โดยกันแดดที่มีคุณสมบัติกันน้ำจะมีให้เลือกอยู่ 2 รูปแบบหลัก ๆ คือ
- Water Resistant (40 นาที) คือ กันแดดที่สามารถกันน้ำได้นานประมาณ 40 นาที
- Waterproof (80 นาที) คือ กันแดดที่สามารถกันน้ำได้นานประมาณ 80 นาที
เลือกครีมกันแดดให้เหมาะกับสภาพผิวและไม่มีสารที่เสี่ยงต่ออาการแพ้
นอกจากจะเลือกครีมกันแดดที่มีค่า SPF 50+ และ PA (+) มากๆ แล้ว อีกสิ่งที่ไม่ควรมองข้ามในการเลือกครีมกันแดด คือ การเลือกครีมกันแดดให้เหมาะกับสภาพผิวและไม่มีสารที่เสี่ยงต่ออาการแพ้ เพื่อให้เราสามารถใช้ครีมกันแดดทุกวันได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ลดความเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาผิวต่างๆ ตามมานั่นเอง มาดูกันว่าสภาพผิวแต่ละประเภทเหมาะกับกันแดดลักษณะแบบไหน?
- กลุ่มผิวมัน
ผิวมัน เป็นผิวที่มีสภาวะที่มีซีบัมมากเกินไป จนทำให้ผิวหน้ามีความมันเยิ้ม โดยเฉพาะช่วง T-Zone และมีรูขุมขนกว้าง ทำให้เป็นสิวได้ง่ายกว่าผิวประเภทอื่นๆ การเลือกกันแดดสำหรับผิวมัน จึงควรเป็นกันแดดสูตรน้ำที่มีเนื้อบางเบา ไม่เหนอะหนะหน้า เพื่อลดการอุดตันรูขุมขน รวมถึงมีส่วนผสมที่ช่วยควบคุมความมันบนใบหน้าด้วย - กลุ่มผิวธรรมดา
กลุ่มผิวธรรมดา เป็นผิวที่ค่อนข้างมีความสมดุล แข็งแรง เรียบเนียน ไม่ค่อยมีปัญหาผิว จึงสามารถเลือกครีมกันแดดได้หลายรูปแบบมากกว่าผิวประเภทอื่นๆ ซึ่งควรเน้นครีมกันแดดที่สามารถปกป้องผิวจากรังสี UVA และ UVB ได้อย่างครอบคลุม มีเนื้อบางเบา มีคุณสมบัติควบคุมความมัน ทนน้ำ และให้ความชุ่มชื้นยาวนานตลอดวัน - กลุ่มผิวแห้งและผิวแพ้ง่าย
ผิวแห้งและผิวแพ้ง่าย กลุ่มนี้มักมีปัญหาผิวแห้ง ผิวลอกเป็นขุย ผิวหยาบกร้าน และแห้งตึงได้ง่าย ควรเลือกครีมกันแดดที่มีคุณสมบัติช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว เนื้อบางเบา และไม่มีส่วนผสมที่ไม่ก่อให้เกิดการระคายผิว เพราะสารสกัดบางชนิดมีส่วนกระตุ้นให้เกิดอาการแพ้ เสี่ยงทำให้เกิดอาการแพ้ได้ง่าย เช่น สารจำพวกพาราเบน ไซคลิก ซิลิโคน น้ำหอม หรือแอลกอฮอล์ ฯลฯ ซึ่งมักจะมีฤทธิ์กัดกร่อนผิว ทำให้ผิวระคายเคืองนั่นเอง
วิธีทาครีมกันแดดให้มีประสิทธิภาพ
หลังจากได้ครีมกันแดดที่เหมาะกับสภาพผิว สามารถป้องกันรังสี UVA UVB จากแดดเมืองไทยได้อย่างครอบคลุมแล้ว ในส่วนของวิธีทาครีมกันแดดก็มีความสำคัญเช่นเดียวกัน เพราะหากทาน้อยไป หรือมากเกินไป หรือไม่ได้รอให้กันแดดซึมลงผิวให้ดีก่อน เมื่อออกไปเผชิญกับแสงแดด รังสี UVA UVB ก็อาจทะลุลงมาทำลายชั้นผิวได้ โดยวิธีทาครีมกันแดดให้มีประสิทธิภาพ มีดังนี้
- ทาครีมกันแดดก่อนออกแดด 30 นาที โดยวิธีนี้จะช่วยให้ครีมกันแดดซึมเข้าสู่ผิวได้เต็มประสิทธิภาพ และยังเป็นการเตรียมผิวให้พร้อมทำหน้าที่ปกป้องผิวหนังจากแสงแดดได้อย่างเต็มที่
- ปริมาณครีมกันแดดที่เหมาะสม ควรทาอย่างน้อย 2 ข้อนิ้วมือ แต่หากเป็นครีมกันแดดชนิดกันน้ำหรือเนื้อโลชัน ควรใช้ประมาณ 1-2 เหรียญสิบ
- ควรทาครีมกันแดดซ้ำทุก 2 ชั่วโมง โดยเฉพาะในช่วงที่ต้องเผชิญกับแดดจัด และทำกิจกรรมที่มีเหงื่อออกมาก
หน้าร้อนจะอยู่กับเราไปอีกนาน และแดดเมืองไทยก็ดูจะไม่ดร็อปลงง่ายๆ ดังนั้นการทาหรือใช้ครีมกันแดด จึงเป็นสิ่งที่ทุกคนควรทำเป็นประจำทุกวันและทำอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งในการเลือกครีมกันแดดก็ควรใส่ใจกับคุณสมบัติและความเหมาะสมต่อสภาพผิว ควรมีค่า SPF 50+ และค่า PA (+) รวมถึงมีคุณสมบัติที่สามารถกันน้ำได้ และอย่าลืมเช็กสารสกัดที่เสี่ยงต่อการแพ้เพื่อหลีกเลี่ยงการเปิดปัญหาผิวอื่นๆ ตามมาด้วย ส่วนใครที่กำลังมองหาครีมกันแดดคุณภาพ สามารถป้องกันรังสี UVA และ UVB อย่างครอบคลุม ผลิตภัณฑ์ครีมกันแดดกลุ่มป้องกันแสงแดดโฟโตเดิร์ม (Photoderm) ของ BIODERMA เป็นผลิตภัณฑ์ครีมกันแดดที่ออกแบบมาให้ใช้ได้กับทุกสภาพผิว รวมถึงผิวแพ้ระคายเคืองง่าย หนึ่งในผลิตภัณฑ์ครีมกันแดดที่ตอบโจทย์ความต้องการของผิวแต่ละประเภท มาเตรียมผิวให้พร้อมก่อนไปเผชิญกับแดดเมืองไทยกันเลย!