รู้เท่าทัน โรคไตเรื้อรังในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 เช็คทันเวลา รักษาไว ชะลอไตเสื่อม เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี

โรคไตเรื้อรังเป็นภัยเงียบควรระวัง เพราะไม่แสดงอาการในระยะเริ่มแรก อาจนำไปสู่ภาวะไตวาย และเป็นโรคเรื้อรังที่รักษาไม่หายขาด ต้องรับการรักษาอย่างต่อเนื่อง สาเหตุหลักของการเกิดโรคไต เกิดจากสภาวะผิดปกติแล้วส่งผลต่อไตถาวร อาทิ ผู้ที่มีโรคประจำตัวเรื้อรัง ได้แก่ โรคเบาหวาน และโรคความดันโลหิตสูง พบว่า มีประชากร 1…

Home / PR NEWS / รู้เท่าทัน โรคไตเรื้อรังในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 เช็คทันเวลา รักษาไว ชะลอไตเสื่อม เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี
  • โรคไตเรื้อรังเป็นภัยเงียบควรระวัง เพราะไม่แสดงอาการในระยะเริ่มแรก อาจนำไปสู่ภาวะไตวาย และเป็นโรคเรื้อรังที่รักษาไม่หายขาด ต้องรับการรักษาอย่างต่อเนื่อง สาเหตุหลักของการเกิดโรคไต เกิดจากสภาวะผิดปกติแล้วส่งผลต่อไตถาวร อาทิ ผู้ที่มีโรคประจำตัวเรื้อรัง ได้แก่ โรคเบาหวาน และโรคความดันโลหิตสูง
  • พบว่า มีประชากร 1 ใน 10 เป็นโรคไต แต่ 9 ใน 10 ของผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง ไม่รู้ภาวะอาการ และพบว่า ผู้ใหญ่ที่ป่วยด้วยโรคเบาหวาน 1 ใน 3 เป็นโรคไตเรื้อรัง
  • แพทย์ผู้เชี่ยวชาญแนะนำผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยง โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคเบาหวาน ควรตรวจคัดกรองโรคไตปีละ 1 ครั้ง ทั้งการตรวจปัสสาวะเพื่อวินิจฉัยค่าโปรตีนในปัสสาวะ (urinary albumin/creatinine ratio (UACR))* และ/หรือการตรวจเลือดเพื่อประเมินค่าอัตราการกรองของไต (estimated glomerular filtration rate, eGFR)* เพื่อรับการรักษา ชะลอความเสื่อมของไต ไม่ต้องไปฟอกเลือด ล้างไต หรือผ่าตัดปลูกถ่ายไต เพื่อรักษาคุณภาพชีวิตผู้ป่วย และลดภาระค่าใช้จ่าย

ศ.คลินิก นพ. ชัยชาญ ดีโรจนวงศ์ นายกสมาคมต่อมไร้ท่อแห่งประเทศไทย กล่าวว่า โรคเบาหวาน คือโรคที่เกิดจากความผิดปกติของการควบคุมน้ำตาลในร่างกาย ทำให้ผู้ป่วยมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ โรคเบาหวานสามารถส่งผลกระทบต่อหลายอวัยวะและนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนจากโรค รวมถึงโรคไตเรื้อรัง (Chronic Kidney Disease) และเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่นำไปสู่ภาวะไตวายระยะสุดท้ายที่ต้องได้รับการฟอกเลือดหรือปลูกถ่ายไต โรคเบาหวานในประเทศกำลังพัฒนา ความชุกของภาวะไตวายในผู้ป่วยโรคเบาหวานสูงกว่าผู้ที่ไม่ได้เป็นโรคเบาหวาน 10 เท่า

สถานการณ์โรคไตเรื้อรังในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ในประเทศไทย

ภาวะทางสุขภาพมีแนวโน้มที่จะลุกลามเพิ่มขึ้น สำหรับประเทศไทยมีผู้ป่วยจำนวน 6.1 ล้านคน ที่เป็นโรคเบาหวาน โดยที่ 42.9% ของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 มีภาวะไข่ขาวหรือโปรตีนในปัสสาวะสูง และ 6% ของผู้ป่วยเบาหวานชนิด 2 มีการลุกลามของโรค จนทำให้ต้องฟอกเลือด ทำให้อัตราการป่วยและอัตราการเสียชีวิตสูง ซึ่ง 25% ของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่เป็นโรคไตเรื้อรัง จะเกิดภาวะไตวายในปีที่ 10 และ 49% มีแนวโน้มการเสียชีวิตในปีที่ 10

ทั้งนี้ เนื่องจากในระยะแรกของโรคเบาหวานลงไต ผู้เป็นเบาหวานจะไม่มีอาการผิดปกติ การตรวจค้นหาภาวะแทรกซ้อนดังกล่าวจึงมีความสำคัญและจะทำให้เริ่มการรักษาได้เร็ว ก่อนที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนที่เป็นมากตามมา ผู้เป็นเบาหวานควรได้รับการตรวจจอรับภาพของตา ตรวจปัสสาวะดูระดับไข่ขาวและตรวจเลือดดูการทำงานของไตปีละหนึ่งครั้งในกรณีที่ยังไม่เคยตรวจพบความผิดปกติมาก่อน และควรตรวจให้บ่อยขึ้นถ้าตรวจพบภาวะแทรกซ้อนดังกล่าวแล้ว

รักษาโรคไตเรื้อรังเพื่อลดความเสี่ยงผลกระทบต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด

ศ.นพ. รุ่งโรจน์ กฤตยพงษ์ ประธานชมรมหัวใจล้มเหลวแห่งประเทศไทย อธิบายเพิ่มเติมว่า ผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 มีความเสี่ยงเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือดเพิ่มขึ้น 2 ถึง 4 เท่าเมื่อเปรียบเทียบกับผู้ที่ไม่ได้เป็นโรคเบาหวาน และมีความเสี่ยงในการเกิดโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายในอนาคตเท่ากับคนที่เคยมีประวัติกล้ามเนื้อหัวใจตาย แต่ไม่เป็นเบาหวาน นอกจากนี้เป็นกลุ่มที่จะเสียชีวิตจากโรคหัวใจและหลอดเลือดเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า เมื่อเทียบกับคนที่ไม่เป็นเบาหวาน กล่าวคือผู้ป่วยเบาหวานเป็นกลุ่มเสี่ยงสูงในการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดนั่นเอง

สำหรับโรคเบาหวานชนิดที่ 2 และโรคไตเรื้อรัง มักอยู่ร่วมกันและมีความสัมพันธ์กับผลลัพธ์ด้านสุขภาพที่ไม่พึงประสงค์ มีข้อมูลอุบัติการณ์สะสมใน 10 ปี พบว่าอัตราการเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจและหลอดเลือดเพิ่มขึ้นประมาณ 6 เท่าเมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่ได้เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 หรือ โรคไตเรื้อรัง นอกจากนี้ ผู้ป่วยที่เป็นทั้งสองโรคดังกล่าวจะมีความเสี่ยงสูงกว่า 2 และ 3 เท่า เมื่อเทียบกับผู้ป่วยที่เป็น โรคไตเรื้อรัง เพียงอย่างเดียวหรือ โรคเบาหวานชนิดที่ 2 เพียงอย่างเดียว

นอกจากนี้โรคไตเรื้อรังและหัวใจล้มเหลว ยังเกิดจากปัจจัยเสี่ยงที่คล้ายคลึงกันเช่น โรคเบาหวาน โรคอ้วน ความดันโลหิตสูง ซึ่งปัจจัยต่างๆ เหล่านี้ล้วนทำให้การดำเนินไปของโรคเร็วยิ่งขึ้น ส่งผลให้ผู้ป่วยเสียชีวิตในที่สุด

นพ. วุฒิเดช โอภาศเจริญสุข นายกสมาคมโรคไตแห่งประเทศไทย กล่าวว่า หนึ่งในสาเหตุของโรคไตที่พบได้บ่อยที่สุดมาจากเบาหวาน โดยพบว่า ทั่วโลกมีจำนวนผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง ถึง 843 ล้านคน เป็นหนึ่งในสาเหตุของการเสียชีวิตและการเกิดโรคร่วม โดยมีประมาณ 1 ล้านคน ที่เสียชีวิตจากโรคไตวายที่ไม่ได้รับการรักษา สำหรับในเอเชียมีผู้ป่วย 434 ล้านคน สัดส่วน 15% หรือราว 65.6 ล้านคน เป็นโรคไตเรื้อรังระยะลุกลาม โดยมีอุบัติการณ์ ความชุก และการเสียชีวิตเพิ่มขึ้น 2 เท่าในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา

ในส่วนของผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย นอกจากจะทำให้ประสิทธิภาพทางกายลดลง และมีอาการซึมเศร้า คุณภาพชีวิตลดลง จากอาการปวดและเหนื่อยล้าแล้ว ยังส่งผลกระทบต่อค่าใช้จ่ายอีกด้วย ในประเทศไทยผู้ป่วยโรคไตระยะต่างๆ ประมาณ 9 ล้านคน คิดเป็น 17.5% ของประชากร เกิดภาระค่าใช้จ่ายในระบบบริการสุขภาพถึงกว่าสองหมื่นล้านบาท ในปี 2565

นพ. วุฒิเดช กล่าวว่า สิ่งที่น่ากังวล คือ จำนวน 9 ใน 10 ของผู้ป่วยโรคไต ไม่รู้ภาวะอาการของตนเอง และพบว่าผู้ใหญ่ที่ป่วยด้วยโรคเบาหวาน 1 ใน 3 เป็นโรคไตเรื้อรัง ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะถูกวินิจฉัยเมื่อโรคเกิดการลุกลามไปแล้ว ดังนั้นจึงขอให้ผู้ป่วยเบาหวานตระหนัก และสังเกตสัญญาณของโรค ระยะแรกจะไม่มีอาการเลย หรือมีอาการเล็กน้อย เช่น ความดันโลหิตสูงมากขึ้น ปัสสาวะบ่อยตอนกลางคืน ปัสสาวะเป็นฟอง เป็นต้น หากปล่อยไว้โดยไม่ได้รับการรักษา จะทำให้โรคลุกลามจากการเสื่อมของไต จนนำไปสู่ไตวาย จะมีอาการชัดเจนมากขึ้น ได้แก่ อ่อนเพลีย นอนไม่หลับ ซีด ข้อเท้าและเท้าบวม และคันผิวหนัง โรคหัวใจและหลอดเลือดระยะแรก และต้องการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม การล้างไตทางช่องท้องแบบต่อเนื่อง หรือการผ่าตัดปลูกถ่ายไตในที่สุด

แนวทางการรักษาเพื่อชะลอการลุกลามของภาวะไตวาย

สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ที่มีภาวะไตเรื้อรังด้วยนั้น ปัจจุบันมีแนวทางใหม่ในการรักษาด้วยยา เพื่อชะลอความเสื่อมของไต อาทิ ยากลุ่ม ACE inhibitor หรือ ARB ยากลุ่ม SGLT-2 inhibitor ยากลุ่ม GLP-1RA และล่าสุด ยากลุ่ม nonsteroidal mineralocorticoid receptor antagonist (MRA) ช่วยยับยั้งตัวรับมิเนอราโลคอร์ติคอยด์ (mineralocorticoid receptor) ที่ทำงานมากเกินไป เป็นวิธีการรักษาใหม่ สามารถชะลอการลุกลามของโรคไตเรื้อรัง ลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะไตวายของผู้ป่วยกลุ่มเปราะบาง รวมทั้งช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดเนื่องจากโรคไตเรื้อรัง จากโรคเบาหวานชนิดที่ 2 โดยปัจจุบันได้มีการอนุมัติแล้วในหลายประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา ยุโรป อินเดีย สิงคโปร์ ออสเตรเลีย และไทย เป็นต้น

ปัจจุบัน ยากลุ่ม MRA ได้มีการศึกษาวิจัยทางคลินิกระยะที่ 3 ในผู้ป่วย 13,000 คนทั่วโลก เพื่อประเมินความปลอดภัย และประสิทธิผลของยาต่อการทำงานของไต หัวใจ และหลอดเลือด ในผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังเนื่องจากโรคเบาหวานชนิดที่ 2 โดยผลการศึกษาวิจัยแสดงให้เห็นว่า สามารถลดความเสี่ยงต่อการรับการบำบัดทดแทนไตได้อย่างสม่ำเสมอ

การตรวจโรคไตเรื้อรังในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ในระยะเริ่มต้นจะสามารถช่วยชีวิตได้

รศ.นพ. ธีรภัทร ยิ่งชนม์เจริญ ประธานวิชาการชมรมหัวใจล้มเหลวแห่งประเทศไทย ระบุว่า สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานที่มีโรคไตเรื้อรังร่วม สิ่งสำคัญคือการช่วยชะลอความเสื่อมของไตและหัวใจของผู้ป่วย โดยถ้ามีการวินิจฉัยเร็ว คนไข้มีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและได้รับยาที่ช่วยชะลอไตเสื่อมได้เร็ว โอกาสที่จะลดความเสี่ยงในการเกิดโรคแทรกซ้อนทางหัวใจและไตก็จะดียิ่งขึ้น ซึ่งมีข้อมูลชี้ให้เห็นชัดเจนว่าการรักษาตั้งแต่ระยะแรกจะให้ผลดียิ่งกว่าการรักษาเมื่อโรคมีการดำเนินไประยะหลังแล้ว ดังนั้นผู้ป่วยเบาหวานและผู้ดูแลควรตระหนักถึงความสำคัญของรายละเอียดในการตรวจสุขภาพ เพื่อการวินิจฉัยโรคไตเรื้อรังในคนไข้เบาหวานที่เร็วขึ้นและได้รับการรักษาที่ทันท่วงที โดยการตรวจหาโปรตีนรั่วในปัสสาวะด้วยวิธีการตรวจปัสสาวะ (uACR) ปีละอย่างน้อย 1 ครั้ง เพราะโดยปกติในคนที่ไม่เป็นโรคจะต้องตรวจไม่พบโปรตีนในปัสสาวะ หากตรวจพบโปรตีนในปัสสาวะ ทำให้แพทย์ทราบว่า ไตเริ่มมีปัญหาในการทำงาน อาทิ ค่า UACR มากกว่าหรือเท่ากับ 30 มิลลิกรัมต่อกรัม หรือหากมี eGFR ที่น้อยกว่า 60 มิลลิลิตรต่อนาทีต่อ 1.73 ตารางเมตร หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที อาจจะนำไปสู่ไตเสื่อมและภาวะไตวายได้

ทั้งนี้จะเห็นได้ว่าโรคเบาหวานมีความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนมากมาย ส่งผลต่อคุณภาพชีวิต และเศรษฐกิจของผู้ป่วย รวมถึงครอบครัว ดังนั้นแนวทางการดูแลสุขภาพของตนเอง เพื่อป้องกันไม่ให้เป็นโรคเบาหวานมีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยแนะนำ 4 วิธี ดังต่อไปนี้ 1.ตรวจร่างกายประจำปีอย่างสม่ำเสมอ 2.ควบคุมน้ำหนัก รับประทานอาหารสุขภาพ และปริมาณที่เหมาะสม ลดการรับประทานน้ำตาล และไขมันอิ่มตัว 3.ออกกำลังกายสม่ำเสมออย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ และ 4.งดสูบบุหรี่ และจำกัดการดื่มแอลกอฮอล์

ด้าน พญ. ปานียา สูตะบุตร ผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ แผนกฟาร์มาซูติคอล บริษัท ไบเออร์ไทย จำกัด กล่าวว่า ไบเออร์ ในฐานะหนึ่งในผู้นำธุรกิจด้านเภสัชกรรมระดับโลก ที่มีความเชี่ยวชาญผลิตภัณฑ์สำหรับดูแลผู้ป่วยหัวใจและหลอดเลือดแบบองค์รวมรวมถึงโรคไต เราจะร่วมรณรงค์เพื่อให้ผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 เข้ารับการตรวจวินิจฉัยเพื่อรับการรักษาโดยเร็วที่สุด เพราะเราตระหนักถึงภาระและความท้าทายในระบบการดูแลสุขภาพและค่าใช้จ่าย และหากมีการพัฒนาโรคไปสู่ไตวายระยะสุดท้าย ต้องได้รับการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม การล้างไตทางช่องท้องแบบต่อเนื่อง หรือการผ่าตัดปลูกถ่ายไต ดังนั้น ไบเออร์ จึงขอร่วมรณรงค์ส่งเสริมให้ผู้ป่วยเบาหวานดูแลตัวเอง สังเกตอาการ และตรวจคัดกรองโรคไต ทั้งการตรวจเลือดและปัสสาวะ อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพื่อช่วยตรวจจับสัญญาณการทำงานของไตล่วงหน้า ปฏิบัติตัวตามคำสั่งของแพทย์อย่างเคร่งครัด เพื่อเป็นส่วนสนับสนุนให้คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยดีขึ้น