BANGKOK INTERNATIONAL MOTOR SHOW Bangkok International Motor Show 2022 BIMS 2022 BMW BMW Motorrad mini Motor Show 2022 บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ บีเอ็มดับเบิลยู บีเอ็มดับเบิลยูมอเตอร์ราด มินิ

BMW – MINI – BMW Motorrad ส่งทัพรถยนต์หรูบุกงาน BIMS 2022

บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย หวนคืนสู่งานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ อีกครั้ง กับทัพรถยนต์และมอเตอร์ไซค์หลากหลายรุ่นที่คุณไม่ควรพลาด

Home / PR NEWS / BMW – MINI – BMW Motorrad ส่งทัพรถยนต์หรูบุกงาน BIMS 2022

บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย หวนคืนสู่งานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ อีกครั้ง กับทัพรถยนต์และมอเตอร์ไซค์หลากหลายรุ่นที่ล้วนตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นในการยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์ไปอีกขั้น สอดคล้องกับแนวคิด “ก้าวด้วยกัน ไปด้วยใจ ไปได้ไกล” ของงานในปีนี้ จัดขึ้นที่ชาเลนเจอร์ฮอลล์ อิมแพ็ค เมืองทองธานี ตั้งแต่วันนี้ ถึง 3 เมษายน 2565

BMW Group Thailand

การจัดแสดงยนตรกรรมของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทยในครั้งนี้ มุ่งเน้นด้านความยั่งยืนผ่านองค์ประกอบต่าง ๆ กับ RE:THINK RE:USE RE:DUCE RE:CYCLE ในการใช้วัสดุรีไซเคิล ไม่ว่าจะเป็น การใช้วัสดุกระดาษแทนพลาสติก การใช้จอดิจิทัลแทนการใช้วัสดุสิ้นเปลืองต่าง ๆ ภายในบูธเพื่อลดการเกิดขยะ ตลอดจนถึงการมอบประสบการณ์ทางดิจิทัลผ่านการแสดงในแนวคิด “From Soul to Soul” ที่ถ่ายทอดเทคโนโลยีดิจิทัลซึ่งหลอมรวมเป็นส่วนหนึ่งของจิตวิญญาณยนตรกรรมจากบีเอ็มดับเบิลยูเข้าไว้ได้อย่างลงตัว

BMW Group Thailand

นอกจากนี้ ลูกค้าที่ทำการจองภายในงาน ยังได้รับกระเป๋าผ้าและทัมเบลอร์รักษ์โลกที่สามารถนำกลับมารับเครื่องดื่มภายในบูธบีเอ็มดับเบิลยูได้ฟรีอีกด้วย

มร. อเล็กซานเดอร์ บารากา ประธานและซีอีโอ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย กล่าวว่า “หลังจากที่เราได้สร้างความสำเร็จมากมายในเซกเมนต์รถยนต์พรีเมียมตลอดหลายปีที่ผ่านมา รวมถึงในปีที่แล้ว ซึ่งเราได้รับคะแนนความพึงพอใจสูงสุดจากลูกค้าในด้านการขายและการบริการ ในปีนี้ เรายังคงสานต่อความมุ่งมั่นในการสร้างความพึงพอใจและความสุนทรีย์ขั้นสูงสุดให้แก่ลูกค้าในทุกขั้นตอน และเรายังยึดมั่นในแนวคิด “Power of Choice” หรือพลังแห่งทางเลือกอยู่เช่นเคย ในงานมอเตอร์โชว์ครั้งนี้ เราได้จัดแสดงรถยนต์และมอเตอร์ไซค์ที่มีความโดดเด่นอย่างรอบด้าน ตอบสนองได้ในทุกโจทย์การขับขี่ ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์สมรรถนะสูงเร็วแรงเต็มพิกัด ตลอดจนรถยนต์อเนกประสงค์ที่พร้อมลุยในทุกสภาพถนนและพกพาเทคโนโลยีการขับขี่ล้ำสมัยมาอย่างเต็มเปี่ยม หรือแม้แต่รถยนต์ที่ตกแต่งพิเศษในรูปแบบลิมิเต็ดอิดิชั่น”

ยานยนต์ไฮไลท์พิเศษของ BMW, MINI และ BMW Motorrad ภายในงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 43 ประกอบไปด้วย

BMW

BMW M440i xDrive Coupé

BMW M440i xDrive Coupé

BMW M440i xDrive Coupé ใหม่ เป็นรถสปอร์ตรุ่นท็อปของตระกูลซีรีส์ 4 คูเป้ ที่ผสมผสานทั้งศาสตร์และศิลป์ด้านวิศวกรรมจาก BMW M เข้ากับความโฉบเฉี่ยวและสง่างาม จนเกิดเป็นยานยนต์สมรรถนะสูงที่พร้อมมอบที่สุดแห่งความแม่นยำและเฉียบคมบนท้องถนน

BMW M440i xDrive Coupé ใหม่ ยังคงรักษาทรวดทรงเฉพาะตัวในสไตล์คูเป้ เช่นเดียวกับซีรีส์ 4 รุ่นอื่น ๆ โดยส่วนหน้ารถเด่นสะดุดตาด้วยกระจังหน้าทรงไตคู่แนวตั้งขนาดใหญ่ ซึ่งนอกจากจะเป็นเอกลักษณ์ของรถคูเป้ระดับตำนานจากบีเอ็มดับเบิลยูแล้ว ยังช่วยตอบโจทย์ด้านการระบายความร้อนของเครื่องยนต์ พร้อมประกบทั้งสองข้างด้วยไฟหน้าเทคโนโลยี BMW Laserlight ที่ติดตั้งระบบปรับการทำงานไฟสูงอัตโนมัติมาด้วย

ส่วนหน้าต่างทั้งสองข้าง เสริมความเนี้ยบด้วยกรอบดำวาวสะดุดตาจากชุดแต่ง BMW Individual high-gloss Shadow Line เข้ากับเส้นสายด้านข้างที่สะท้อนถึงสมรรถนะและความคล่องตัว เช่นเดียวกับอุปกรณ์เสริมสไตล์ M ที่จัดมาให้ครบชุด ไม่ว่าจะเป็นชุดแต่ง M Aerodynamics สปอยเลอร์แบบ M ล้ออัลลอย M ขนาด 19 นิ้วในแบบ Double-spoke และเบรก M Sport พร้อมคาลิเปอร์สีแดงแบบ high-gloss

BMW M440i xDrive Coupe

ในด้านสมรรถนะ BMW M440i xDrive Coupé ใหม่ มอบพลังแบบเต็มพิกัดจากเครื่องยนต์เบนซิน 6 สูบขนาด 2,998 ซีซี พร้อมเทคโนโลยี BMW TwinPower Turbo ส่งพละกำลังสูงสุดถึง 285 กิโลวัตต์ / 387 แรงม้า และมีแรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตร ที่ 1,900 ถึง 5,000 รอบต่อนาที เครื่องยนต์นี้ทำงานควบคู่กับระบบเกียร์ 8 จังหวะแบบ Steptronic Sport เพื่อให้ตัวรถเร่งความเร็วจาก 0 ถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ในเวลาเพียง 4.5 วินาที และทำความเร็วได้สูงสุดที่ 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

ส่วนระบบขับเคลื่อนสี่ล้ออัจฉริยะ BMW xDrive ก็ทำงานผสานกับช่วงล่างระบบ adaptive M เฟืองท้ายแบบ M Sport และระบบบังคับเลี้ยวแบบแปรผันตามการหมุนของพวงมาลัย (variable sport steering) เพื่อให้ BMW M440i xDrive Coupé ใหม่ ตอบสนองกับทุกการควบคุมอย่างรวดเร็วฉับไว มอบความคล่องตัวและแม่นยำสูงสุด ให้คุณได้เพลิดเพลินไปกับทุกเส้นทาง

ความมุ่งมั่นของบีเอ็มดับเบิลยูที่จะมอบที่สุดแห่งประสบการณ์การขับขี่ ยังสะท้อนออกมาผ่านการออกแบบห้องโดยสารของ BMW M440i xDrive Coupé ใหม่ ที่มุ่งให้ความสำคัญกับผู้ขับขี่เป็นหลัก พร้อมมอบบรรยากาศความแรงในสไตล์ M ในทุกอณูด้วยพวงมาลัยหนังและเข็มขัดนิรภัยแบบ M พร้อมตกแต่งพื้นผิวภายในแบบ Aluminium Tetragon ตัดกับเพดานหลังคาภายในแบบ BMW Individual สีดำ anthracite ได้อย่างลงตัว

ส่วนแผงคอนโซลด้านหน้า เต็มตากับแผงหน้าปัดแบบดิจิทัลขนาด 12.3 นิ้ว และหน้าจอ Control Display ขนาด 10.25 นิ้ว ที่เปิดให้ใช้งานทุกคุณสมบัติสุดล้ำจากระบบ BMW Live Cockpit Professional และ BMW ConnectedDrive ได้อย่างเต็มความสามารถ รวมถึงฟังก์ชันการใช้งานคู่กับสมาร์ทโฟน และความบันเทิงจากระบบเสียงแบบเซอร์ราวด์ Harman Kardon 

นอกจากนี้ ผู้ขับขี่ยังสามารถเพ่งสมาธิไปที่ท้องถนนได้แบบไม่ต้องละสายตา ด้วยระบบ BMW Head-Up Display รุ่นใหม่ล่าสุดที่มีพื้นที่การแสดงข้อมูลใหญ่ขึ้นกว่าเดิมถึง 70%

BMW M440i xDrive Coupe

BMW M440i xDrive Coupé ใหม่ ยังมาพร้อมกับเทคโนโลยีล้ำสมัยอีกมากมาย ทั้งระบบช่วยนำรถเข้าที่จอดอัตโนมัติ รุ่น Plus (Parking Assistant Plus), ระบบช่วยการขับขี่ (Driving Assistant) และระบบควบคุุมความเร็วอัตโนมัติ พร้อมฟังก์ชั่น Stop&Go (Active Cruise Control with Stop & Go) รวมถึงระบบกล้องแสดงภาพรอบทิศทาง (Surround View Camera) ที่ล้วนมอบความมั่นใจและอุ่นใจบนท้องถนน ส่วนฟังก์ชันอย่างระบบปลดล็อกประตููอัจฉริยะ (Comfort Access) และฝากระโปรงท้ายแบบอัตโนมัติก็ช่วยให้ทุกการเดินทางเริ่มต้นขึ้นได้อย่างสะดวกสบายที่สุด

BMW M440i xDrive Coupé ใหม่ จะเริ่มเปิดจองภายในไตรมาสที่สองของปี 2565 ผ่านช่องทางออนไลน์ โดยมีให้เลือก 4 สีด้วยกัน ได้แก่ สีแดง Aventurin Red (ภายในบุหนัง ‘Vernasca’ สีดำ พร้อมแต่งตะเข็บสีดำ), สีดำ Black Sapphire, สีเทา M Brooklyn Grey และสีขาว Mineral White (ภายในบุหนัง ‘Vernasca’ สีดำ พร้อมแต่งตะเข็บสีแดง Tacora Red) ในราคา 5,300,000 – 5,500,000 บาท โดยประมาณ

BMW X4 xDrive20d M Sport

BMW X4 xDrive20d M Sport

BMW X4 รถยนต์ที่นิยามความเป็น Sport Activity Coupé กลับมาอีกครั้งกับความสดใหม่ในรุ่น BMW X4 xDrive20d M Sport ใหม่ ที่เสริมความเฉียบของรุ่นก่อนหน้าด้วยคุณสมบัติและการตกแต่งแบบรอบด้าน

BMW X4 xDrive20d M Sport มาพร้อมกับโฉมใหม่ที่เตะตากว่าเคย นับจากกระจังหน้าไตคู่สไตล์ M ด้านหน้า จับคู่กับไฟหน้าแบบ adaptive LED และชุดแต่ง BMW Individual High-Gloss Shadow Line ที่เติมความเข้มด้วยกรอบและซี่กระจังหน้าสีดำ

ส่วนท้ายรถก็เท่สไตล์สปอร์ตไม่แพ้กัน กับไฟท้าย LED ทรงสามมิติที่เข้าคู่กับกันชนดีไซน์ใหม่และปากท่อไอเสียทรงกว้าง ส่วนล้อแม็กอัลลอยใหม่สไตล์ M ขนาด 20 นิ้วแบบ Double-spoke ก็ยกระดับความดุดันแข็งแกร่งของ BMW X4 xDrive20d M Sport ใหม่ แมทช์กันกับความมั่นใจบนท้องถนนจากช่วงล่างแบบ adaptive พร้อมระบบช่วยการขับขี่ (Driving Assistant) และระบบช่วยนำรถเข้าที่จอดอัตโนมัติ รุ่น Plus (Parking Assistant Plus)

MW X4 xDrive20d M Sport

ส่วนภายในห้องโดยสาร ให้ความรู้สึกโปร่งสบายในทุกการเดินทางด้วยหลังคาซันรูฟ โดยไม่คลายบรรยากาศความสปอร์ต กับพื้นผิวที่ตกแต่งดีไซน์ M ด้วยวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ พร้อมเบาะนั่งแบบสปอร์ต และระบบ BMW Head-Up Display ขณะที่ระบบ BMW Live Cockpit Professional ก็พร้อมมอบความสะดวกสบายในการใช้งานระบบต่าง ๆ ขณะเดินทาง

MW X4 xDrive20d M Sport

BMW X4 xDrive20d M Sport ใหม่ ยังคงเปี่ยมสมรรถนะด้วยเครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ ขนาด 1,995 ซีซีพร้อมเทคโนโลยี BMW TwinPower Turbo เช่นเคย ให้พละกำลังสูงสุด 140 กิโลวัตต์ / 190 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตร ที่ 1,750 – 2,500 รอบต่อนาที ทำงานผสานกับระบบเกียร์ Steptronic 8 จังหวะ พร้อมส่งให้ตัวรถทะยานสู่ 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ใน 8.0 วินาที และทำความเร็วสูงสุดได้ 213 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

BMW X4 xDrive20d M Sport ใหม่ มาพร้อมตัวเลือก 5 สี 5 สไตล์ ได้แก่ สีขาว Alpine White, สีดำ Black Sapphire, สีเทา Brooklyn Grey (ภายในแต่งด้วยตะเข็บสีแดง Tacora Red), สีน้ำเงิน Phytonic Blue และสีแดง Piemont Red (ภายในแต่งด้วยตะเข็บสีดำ) เป็นเจ้าของได้ในราคา 4,099,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม พร้อมแพ็คเกจบำรุงรักษา BSI Standard)

BMW X4 M Competition

BMW X4 M Competition

สำหรับนักขับที่มองหาความแรงที่เหนือกว่าไปอีกขั้น รับรองได้ว่าจะต้องประทับใจไปกับที่สุดแห่งสมรรถนะจาก BMW X4 M Competition ใหม่ ที่เติมพลังให้เหนือกว่า X4 M รุ่นเดิมด้วยชุดแต่ง Competition เสริมให้เครื่องยนต์เบนซิน 6 สูบ M TwinPower Turbo ขนาด 2,993 ซีซี มอบความแรงได้ถึง 375 กิโลวัตต์ / 510 แรงม้า ขณะที่การเร่งจาก 0 ถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ก็ทำได้ในเวลาเพียง 4.0 วินาทีเท่านั้น

ประสิทธิภาพเต็มพิกัดของ BMW X4 M Competition ใหม่นี้ เป็นผลพวงจากการผนึกรวมนวัตกรรมที่อยู่เบื้องหลังความแรงสไตล์รถแข่งของ BMW M3 และ M4 เช่น เพลาข้อเหวี่ยงน้ำหนักเบาที่ช่วยส่งแรงบิดและพละกำลังรอบเครื่องยนต์ได้ดียิ่งขึ้น และระบบทำความเย็นเครื่องยนต์ที่ผ่านการทดสอบบนสนามแข่งมาแล้ว

BMW X4 M Competition

ส่วนระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ M xDrive ช่วยให้ BMW X4 M Competition ใหม่ มีความคล่องตัวสูง ผสมผสานข้อได้เปรียบจากการส่งพลังลงสู่ทั้งสี่ล้อที่ช่วยให้รถเกาะถนนมากขึ้น เข้ากับความสนุกและคล่องตัวในแบบรถขับเคลื่อนล้อหลัง โดย M xDrive จะทำงานร่วมกับระบบควบคุมเสถียรภาพการขับขี่ (Dynamic Stability Control) เพื่อส่งแรงบิดไปยังเพลาหน้าเฉพาะในกรณีที่ได้ส่งกำลังเต็มพิกัดไปที่ล้อหลังผ่านระบบเกียร์ 8 จังหวะแบบ M Steptronic พร้อมเทคโนโลยี Drivelogic ขณะที่ระบบเบรกประสิทธิภาพสูง BMW M Compound Brake ก็ชะลอและหยุดรถได้อย่างมั่นใจ พร้อมเติมมาดเข้มด้วยคาลิเปอร์สีดำขลับ

รูปลักษณ์ของ BMW X4 M Competition ใหม่ เปี่ยมด้วยความสปอร์ตไม่ต่างจากสมรรถนะของตัวรถ ด้วยรูปทรงที่ได้แรงบันดาลใจจากรถสปอร์ตคูเป้ กระจังหน้าทรงไตคู่ขนาดใหญ่ที่เสริมด้วยชุดแต่ง BMW Individual High-Gloss Shadow Line with Extended Contents ส่วนไฟหน้า LED มาในทรงที่แบนราบกว่ารุ่นเดิม พร้อมเติมความเข้มด้วยโคมไฟหน้าตกแต่งสีดำแบบ BMW M Light Shadow Line 

ขณะที่ด้านท้ายรถก็โดดเด่นด้วยการออกแบบช่องทรงสี่เหลี่ยมคางหมูบริเวณป้ายทะเบียนที่กันชนท้าย พร้อมด้วยท่อไอเสีย 4 ท่อ 2 คู่ ในสีดำโครเมียม ติดตั้งประกบอยู่ทั้งสองข้างของดิฟฟิวเซอร์ สอดรับกับความดุดันในโทนสีดำที่ล้อแม็ก 21 นิ้วแบบ M light alloy ในดีไซน์ Double-spoke แบบสลับสี

BMW X4 M Competition

BMW X4 M Competition ใหม่ คงความสปอร์ตภายในห้องโดยสารด้วยเบาะหนังสปอร์ตแบบ M เข็มขัดนิรภัยแบบ M และพื้นผิวภายในที่ตกแต่งด้วยวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ พร้อมหลังคากระจก Panorama นอกจากฟังก์ชันมากมายในระบบ BMW Live Cockpit Professional แล้ว X4 M Competition รุ่นนี้ยังมีระบบช่วยการขับขี่ Driving Assistant รุ่น Professional ติดตั้งมาให้ มอบความสะดวกสบายที่เหนือกว่าผ่านระบบควบคุุมความเร็วอัตโนมัติ พร้อมฟังก์ชัน Stop & Go (Active Cruise Control with Stop & Go) นอกจากนี้ ผู้ขับขี่ยังสามารถเข้าถึงฟังก์ชันบางอย่างของตัวรถได้จากระยะไกล ผ่านกุญแจ BMW Display Key

เป็นเจ้าของ BMW X4 M Competition ได้ในราคา 8,599,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม พร้อมแพ็คเกจบำรุงรักษา BSI Standard)

BMW X5 xDrive30d M Sport 

BMW X5 xDrive30d M Sport 

BMW X5 xDrive30d M Sport ใหม่ รถยนต์ในตระกูล Sports Activity Vehicle รุ่นล่าสุดที่มาพร้อมเครื่องยนต์ดีเซล ยังคงขึ้นชื่อในด้านสไตล์การขับขี่ที่เปี่ยมด้วยสมรรถนะปราดเปรียวที่เหนือชั้น พร้อมด้วยประโยชน์ใช้สอยรอบด้านในทุกช่วงเวลา แต่ยังยกระดับทั้งสมรรถนะ ความประหยัด และความแม่นยำบนท้องถนนให้เหนือกว่าที่เคย

BMW X5 xDrive30d M Sport ใหม่ นับเป็นครั้งแรกที่ BMW X5 ในประเทศไทยมาพร้อมเทคโนโลยี mild hybrid ด้วยการเพิ่มมอเตอร์ไฟฟ้าแรงดัน 48 โวลต์ เสริมพละกำลังขึ้นมาอีก 8 กิโลวัตต์ / 11 แรงม้าในขณะสตาร์ทรถและเร่งความเร็ว ส่วนตัวเครื่องยนต์ดีเซล 6 สูบ 2,993 ซีซี พร้อมเทคโนโลยี BMW TwinPower Turbo ก็แรงกว่าเดิมด้วยพลังสูงสุดที่ 210 กิโลวัตต์ / 286 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 650 นิวตันเมตรที่ 1,500-2,500 รอบต่อนาที จึงทำให้การเร่งจาก 0 ถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงรวดเร็วขึ้น เหลือเวลาเพียง 6.1 วินาที ขณะที่ความเร็วสูงสุดเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็น 235 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

BMW X5 xDrive30d M Sport 

นอกจากสมรรถนะที่สูงขึ้นแล้ว BMW X5 xDrive30d M Sport ใหม่ ยังยกระดับให้เครื่องยนต์ดีเซลเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมกว่าที่เคยด้วยการใช้ AdBlue สารพิเศษที่ช่วยลดปริมาณไนโตรเจนออกไซด์ในไอเสีย โดยทำปฏิกิริยาเคมีเพื่อแตกสารดังกล่าวให้กลายเป็นไนโตรเจนและน้ำ ซึ่งล้วนไม่เป็นภัยต่อสิ่งแวดล้อม

BMW X5 xDrive30d M Sport ใหม่ มาในมาดขรึมสง่างามยิ่งกว่าเดิม ด้วยชุดแต่ง M Aerodynamics พร้อมด้วย M High-Gloss Shadow Line และ M Roof Rails High-Gloss Shadow Line 

BMW X5 xDrive30d M Sport 

ส่วนห้องโดยสารที่กว้างขวางก็เสริมกลิ่นอายความสปอร์ตด้วยพื้นผิวที่แต่งสไตล์ M ด้วยลาย Aluminium Tetragon เพดานภายในสีดำ anthracite แบบ M และพวงมาลัยหนัง M Sport ขณะที่ในด้านความสะดวกสบายก็ครบครันสำหรับทุกระยะทาง ด้วยระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบ 4 โซน หลังคาซันรูฟ และระบบเสียงเซอร์ราวด์จาก Harman Kardon

BMW X5 xDrive30d M Sport ใหม่ มีให้เลือกทั้งสีเทา Arctic Grey Brilliant Effect, สีน้ำเงิน Phytonic Blue (ภายในบุหนัง ‘Vernasca’ สีดำแบบ perforated), สีดำ Black Sapphire และสีขาว Mineral White (ภายในบุหนัง ‘Vernasca’ สีน้ำตาลแบบ perforated) พร้อมเป็นเจ้าของได้ในราคา 4,799,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม พร้อมแพ็คเกจบำรุงรักษา BSI Standard)


MINI

MINI Electric Collection Edition ใหม่ พร้อมหลังคา Multitone Roof

MINI Electric Collection Edition

หลังจากที่เพิ่งเปิดตัวสู่สายตาแฟน ๆ มินิในไทยไปเมื่อไม่นานมานี้ MINI Electric Collection Edition ใหม่ ได้ออกมาโลดแล่นให้แฟนมินิได้ยลโฉมและตัดสินใจจับจองเป็นเจ้าของกันอย่างต่อเนื่องในงานมอเตอร์โชว์ โดยในประเทศไทย มีรุ่นพิเศษนี้จำหน่ายเพียงแค่ 40 คันเท่านั้น

MINI Electric Collection Edition แต่ละคันล้วนมีเอกลักษณ์ที่เป็นของตัวเองอย่างแท้จริง ด้วยโทนสีหลากเฉดของ Multitone Roof ซึ่งสร้างสรรค์ขึ้นจากเทคนิคการพ่นสีแบบใหม่ของมินิที่โรงงานในอ็อกซ์ฟอร์ด ประเทศอังกฤษ โดยในกระบวนการนี้ จะเริ่มลงสีหลังคาด้วยสีฟ้าอ่อน Pearly Blue เป็นสีแรก ต่อด้วยสีน้ำเงินเข้ม San Marino Blue ด้านหน้า และสีดำ Jet Black ที่ด้านหลัง ทำให้เกิดการไล่สีที่สวยสะดุดตา

นอกจากนี้ การไล่โทนสีในแต่ละคันอาจมีความแตกต่างกันเล็กน้อยจากขั้นตอนการลงสีในกระบวนการผลิต จึงเป็นที่มาของเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ไม่ซ้ำใครในแต่ละคันของมินิรุ่นพิเศษนี้นั่นเอง

MINI Electric Collection Edition

ด้านการขับขี่ MINI Electric Collection Edition ยังคงเป็นรถยนต์ไฟฟ้าขับสนุกที่แฟน ๆ มินิต่างให้การต้อนรับอย่างอบอุ่นตลอดมา ด้วยเครื่องยนต์ไฟฟ้าที่ปราศจากมลภาวะ ส่งกำลังสูงสุด 135 กิโลวัตต์ / 184 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 270 นิวตันเมตร เร่งความเร็วจาก 0 ถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ใน 7.3 วินาที

ส่วนระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่และความปลอดภัยก็จัดมาอย่างรอบด้าน ให้ผู้ขับขี่และผู้โดยสารได้ดื่มด่ำไปกับทุกการเดินทางอย่างมีสไตล์ด้วยลูกเล่นพิเศษอย่างวิทยุ มินิ Visual Boost ผิวภายในห้องโดยสารที่ตกแต่งแบบ มินิ Yours ชุดลำโพง 12 ตัวจาก Harman Kardon และอื่น ๆ

MINI Electric Collection Edition

MINI Electric Collection Edition รุ่นจำนวนจำกัด 40 คัน พร้อมให้เป็นเจ้าของแล้ววันนี้ โดยมีให้เลือกในสีน้ำเงิน Island Blue และสีเทา Rooftop Grey ในราคา 2,459,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม พร้อมแพ็คเกจบำรุงรักษา MSI Standard)

MINI Cooper S Hatch 3-Door ‘Brick Lane Edition’

MINI Cooper S Hatch 3 Door 'Brick Lane Edition'

เท่ไม่เหมือนใครไปอีกขั้นกับโฉมใหม่สไตล์สตรีทของมินิรุ่นพิเศษตัวล่าสุดกับ MINI Cooper S Hatch 3-Door ‘Brick Lane Edition’ ใหม่ ที่ได้แนวคิดในการออกแบบมาจากผลงานสตรีทอาร์ทบนถนน Brick Lane ของลอนดอน โดยมินิรุ่นพิเศษนี้มีจำหน่ายในประเทศไทยเพียง 22 คันเท่านั้น

สำหรับ Brick Lane Edition นี้ ได้นำมินิ คูเปอร์ เอส แฮทช์ 3 ประตู รุ่นมาตรฐาน มาแต่งแต้มลวดลายแบบสตรีทรอบคัน ไม่ว่าจะเป็นแถบลายบนฝากระโปรงหน้าและด้านข้างตัวรถ ที่ได้ไอเดียมาจากอาคารอิฐที่เรียงรายกันอยู่บนถนน Brick Lane ของจริง ตัดกับหลังคาสีน้ำเงินเข้ม San Marino Blue และสปอยเลอร์สีดำได้อย่างพอดี

แถบลายที่ว่านี้ยังถูกนำไปเป็นส่วนประกอบของดีไซน์ในจุดอื่นอีกหลายแห่ง นับตั้งแต่ป้ายชื่อรุ่นด้านข้างและบันไดรถ ที่สลักคำว่า “Brick Lane” ชัดเจน ลายอักษร “B” บนเสาซี พื้นผิวภายในห้องโดยสารที่แต่งด้วยสีดำ Piano Black และอุปกรณ์เสริมเฉพาะตัวอย่างแผ่นยางปูพื้นและกุญแจรถ

MINI Electric Collection Edition

แน่นอนว่า MINI Cooper S Hatch 3-Door ‘Brick Lane Edition’ ใหม่ ยังขับสนุกและคล่องแคล่วบนท้องถนนเหมือนเดิม ด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 1,998 ซีซี ที่ส่งพละกำลังได้สูงสุด 141 กิโลวัตต์ / 192 แรงม้า ทำเวลา 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ที่ 6.7 วินาที และด้วยระบบเกียร์ 7 จังหวะ Steptronic แบบคลัตช์คู่ ช่วงล่างแบบ adaptive และระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่มากมาย จึงรับรองได้ว่ามินิรุ่นพิเศษคันนี้เป็นตัวแรงครบรสทั้งในด้านความเร็วและสไตล์

แฟน ๆ มินิสามารถเลือกเป็นเจ้าของ MINI Cooper S Hatch 3 Door ‘Brick Lane Edition’ ใหม่ ทั้ง 22 คันได้แล้ววันนี้ โดยมีสีขาว White Silver และสีเทา Moonwalk Grey ให้เลือก ในราคา 2,899,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม พร้อมแพ็คเกจบำรุงรักษา MSI Standard)


BMW Motorrad

BMW R 1250 RT

BMW R 1250 RT

BMW R 1250 RT ใหม่ มอเตอร์ไซค์ทัวริ่งที่มาพร้อมสมรรถนะเครื่องยนต์ทรงพลัง ผสานเข้ากับความสะดวกสบายสำหรับการเดินทางไกลไว้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ พร้อมสร้างประสบการณ์สุดประทับใจให้แก่เหล่าไบค์เกอร์บนทุกเส้นทาง มาพร้อมเครื่องยนต์บ็อกเซอร์อันเป็นเอกลักษณ์ระดับตำนานของบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด สั่งจ่ายเชื้อเพลิงด้วยระบบหัวฉีดอิเล็กทรอนิกส์ พร้อมระบบฟอกไอเสียแบบ closed-loop ชนิด 3 ทาง จึงพร้อมส่งแรงบิดเต็มกำลัง ขณะที่เทคโนโลยีระบบวาล์วแปรผันใหม่ BMW ShiftCam ที่ติดตั้งอยู่ในเครื่องยนต์ ก็ยังเสริมความแรงได้อย่างมีประสิทธิภาพแบบเหนือชั้นและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

BMW R 1250 RT ใหม่ ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์บ็อกเซอร์ 2 สูบ ระบายความร้อนด้วยอากาศและของเหลว ขนาด 1,254 ซีซี ที่ได้รับการยกระดับให้สามารถส่งพละกำลังและแรงบิดได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ สามารถโลดแล่นได้อย่างราบรื่นแม้ขับขี่ด้วยความเร็วต่ำ ส่งกำลังสูงสุด 100 กิโลวัตต์ / 136 แรงม้า ที่ 7,750 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุด 143 นิวตันเมตรที่ 6,250 รอบต่อนาที

เครื่องยนต์บ็อกเซอร์รุ่นใหม่นี้ยังโดดเด่นด้วยระบบไอเสียที่สามารถปล่อยมลพิษน้อยลง และประหยัดเชื้อเพลิง เติมเต็มสมรรถนะเครื่องยนต์ด้วยเทคโนโลยี BMW ShiftCam ที่เสริมความสมดุลของเพลาลูกเบี้ยวและจังหวะการทำงานของเครื่องยนต์ นอกจากนี้ เพลาลูกเบี้ยวยังเปลี่ยนมาขับเคลื่อนด้วยห่วงโซ่ฟันแทนโซ่ส่งกำลังแบบเดิม ส่วนระบบหัวฉีดคู่และระบบไอเสียใหม่ ผ่านการรับรองมาตรฐานยูโร 5 ที่เน้นประหยัดเชื้อเพลิงและลดการปล่อยมลพิษสู่อากาศ

BMW R 1250 RT

BMW R 1250 RT มาพร้อมโหมดการขับขี่ที่หลากหลายสำหรับความต้องการที่แตกต่างของนักบิด โดยมาพร้อมโหมดใหม่ล่าสุด “Eco” ที่ใช้เชื้อเพลิงได้อย่างมีประสิทธิภาพกว่าที่เคย รวมถึงโหมด Rain, Road และ Riding Modes Pro ที่เพิ่มโหมดการขับขี่แบบโปร คือ Dynamic, Dynamic Pro และระบบช่วยออกตัวในทางลาดชัน (Hill Start Control Pro)

เพิ่มความมั่นใจยิ่งขึ้นด้วยระบบ Dynamic Traction Control และ Full Integral ABS Pro ที่ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพร่วมกับระบบ Dynamic Brake Control (DBC) ระบบป้องกันการลื่นไถลของล้อหลัง (MSR) และระบบช่วงล่างที่ควบคุมด้วยไฟฟ้า หรือ Dynamic ESA

นอกจากนี้ BMW R 1250 RT ใหม่ ยังมอบประสบการณ์การขับขี่ที่สะดวกสบายยิ่งขึ้นด้วยระบบ Dynamic Cruise Control (DCC) ร่วมกับ Active Cruise Control (ACC) ที่ช่วยควบคุมความเร็วคงที่ และยังสามารถรักษาระยะห่างจากคันหน้าได้อัตโนมัติ

BMW R 1250 RT ใหม่ ยังคงเน้นองค์ประกอบอันเป็นเอกลักษณ์ของมอเตอร์ไซค์ทัวริ่ง โดดเด่นด้วยไฟหน้า LED พร้อมไฟเลี้ยวแบบ Adaptive ปรับทิศทางตามองศาเลี้ยว

ระบบความบันเทิงล้ำสมัยด้วยหน้าจอ TFT แบบสีขนาด 10.25 นิ้ว แสดงผลระบบนำทางได้อย่างเต็มรูปแบบ พร้อมการเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟน และช่องวางโทรศัพท์ที่สามารถป้องกันละอองน้ำ มีพัดลมระบายความร้อนในตัว และช่องเสียบ USB ผู้ขับขี่ยังสามารถเพลิดเพลินกับทุกการเดินทางด้วยระบบเสียง Audio System 2.0 มอบความบันเทิงที่เต็มอรรถรสยิ่งขึ้น

BMW R 1250 RT

BMW R 1250 RT ใหม่ มาให้เลือกในสามสีสามสไตล์ ได้แก่ สีดำ Triple Black สีน้ำเงิน Racing Blue Metallic และสีขาว Option 719 ผสานตัวถังในสีสุดพิเศษ Mineral white metallic ที่เพิ่มความเงางามด้วยสีขาวเมทาลิกตัดกับล้อในสี White Aluminium แบบด้าน คาลิเปอร์เบรกสีทอง และองค์ประกอบสีดำอื่น ๆ ได้อย่างลงตัว

มาพร้อมอุปกรณ์แต่งในแบบฉบับ Option 719 ได้แก่ ฝาครอบเครื่องยนต์พรีเมียมเสริมความโดดเด่นในสีเงิน เบาะนั่งมาในสีน้ำตาล เติมลูกเล่นด้วยลวดลายและการบุตะเข็บอย่างปราณีต สะท้อนถึงความหรูหราคลาสสิกของชุดแต่ง Option 719

ราคาจำหน่าย BMW R 1250 RT ใหม่

  • 1,310,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) สำหรับสี Triple Black และสี Racing Blue Metallic
  • 1,420,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) สำหรับ Option 719 Mineral White Metallic

BMW C 400 GT

BMW C 400 GT

BMW C 400 GT เป็นสกู๊ตเตอร์ขนาดกลางที่พร้อมเป็นสองล้อคู่ใจของไบค์เกอร์ในทุกโอกาส ด้วยสมรรถนะและดีไซน์ที่โดดเด่นครบครัน ยกจิตวิญญาณของมอเตอร์ไซค์ทัวริ่งมาจุดประกายให้นักบิดไทยได้ตื่นเต้นและเพลิดเพลินไปกับการโลดแล่นบนท้องถนน

BMW C 400 GT ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ 1 สูบ พร้อมระบบระบายความร้อนด้วยน้ำ ส่งพละกำลังสูงสุดที่ 25 กิโลวัตต์ / 34 แรงม้า ที่ 7,500 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุด 35 นิวตันเมตรที่ 6,000 รอบต่อนาที เครื่องยนต์นี้ทำงานประสานกับระบบเกียร์ CVT และระบบกันสะเทือนล้อหลังที่ผสานนวัตกรรมใหม่เพื่อลดการสั่นสะเทือนและเสริมความสบายระหว่างการขับขี่ และด้วยการรับรองมาตรฐานมลภาวะระดับ EU 5 BMW C 400 GT จึงเป็นสกู๊ตเตอร์คู่ใจที่พร้อมสนุกไปด้วยกันในทุกจังหวะการขับขี่

BMW C 400 GT

เพื่อยกระดับความคล่องแคล่วของ BMW C 400 GT เครื่องยนต์ชุดนี้จึงทำงานควบคู่กับระบบ E-gas หรือคันเร่งระบบไฟฟ้า พร้อมวาล์วระบบไฟฟ้าและระบบควบคุมเครื่องยนต์ที่พัฒนาขึ้นใหม่ ขณะที่ความเปลี่ยนแปลงในหลากหลายองค์ประกอบ นับตั้งแต่ระบบไอเสียที่มีประสิทธิภาพดีขึ้น ไปจนถึงการปรับแต่งระบบควบคุมการทำงานของเครื่องยนต์ในเกียร์ว่าง ยังช่วยให้สกู๊ตเตอร์รุ่นใหม่นี้ตอบสนองฉับไวในทุกจังหวะ และการเดินเครื่องที่ราบรื่น นุ่มนวลยิ่งขึ้นขณะใช้เกียร์ว่าง ขณะที่ชุดสปริงใหม่ในระบบคลัทช์แบบแรงเหวี่ยงก็ช่วยให้ตัวเครื่องทำงานได้นิ่งขึ้นด้วยเช่นกัน

อีกหนึ่งความเปลี่ยนแปลงทางเทคนิคที่โดดเด่นใน BMW C 400 GT ใหม่ คือการเพิ่มประสิทธิภาพให้กับระบบ Automatic Stability Control (ASC) ซึ่งสามารถปรับการตั้งค่าตัวเองได้แบบอัตโนมัติเมื่อจำเป็น เช่น ในกรณีที่เปลี่ยนยาง นอกจากนี้ ระบบ ASC ใหม่นี้ยังออกแบบมาให้ทำงานด้วยระดับแรงเสียดทานที่ต่ำกว่าในรุ่นเดิม จึงทำให้รู้สึกได้อย่างชัดเจนถึงการตอบสนองที่ฉับไวขึ้น ขับขี่สบายยิ่งขึ้น

ส่วนระบบเบรกก็มาพร้อมกับคาลิเปอร์ใหม่ที่ช่วยให้ระบบดิสก์เบรกคู่ที่ล้อหน้าทำงานได้แม่นยำมากขึ้น สัมผัสได้ถึงจังหวะออกแรงเบรกอย่างชัดเจนยิ่งขึ้น และปรับการเคลื่อนตัวของลูกสูบดิสก์เบรกให้ดียิ่งขึ้น

BMW C 400 GT

ส่วนช่องเก็บสัมภาระนี้อยู่ในบริเวณใต้เบาะนั่งซึ่งได้รับการออกแบบใหม่ให้นั่งสบายกว่าที่เคย โดยนอกจากช่องต่อไฟแบบ 12 โวลต์แล้ว ช่องเก็บของด้านหน้ายังมาพร้อมกับช่องเสียบสายชาร์จ USB อีกด้วย (ช่องเก็บสัมภาระขนาด 31 ลิตร ซึ่งสามารถขยายได้ถึง 45 ลิตรหากติดตั้ง Flexcase)

ราคาจำหน่าย BMW C 400 GT

  • 419,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) สำหรับสี Alpine White
  • 429,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) สำหรับสี Blackstorm Metallic

BMW R 18 B

BMW R 18 B

BMW R 18 B ผสมผสานทั้งความหรูหราและความมีสไตล์ไว้ด้วยกันอย่างลงตัว พร้อมด้วยพลังเต็มเปี่ยมจากเครื่องยนต์ “บิ๊กบ็อกเซอร์” ที่ใจกลางแชสซีสุดคลาสสิก ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากประวัติศาสตร์อันยาวนานของบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด

ในฐานะมอเตอร์ไซค์แบกเกอร์เต็มตัว BMW R 18 B มีรูปลักษณ์ที่ทั้งเรียบง่าย ปราดเปรียว และขาดไม่ได้กับกระเป๋าสัมภาระข้างรถ ที่ออกแบบมาให้เข้ากันได้เป็นอย่างดีกับฝาครอบไฟหน้า ส่วนประกอบเพื่อการใช้งานและดีไซน์ต่าง ๆ เช่น โครงสร้างเหล็กกล้าสองชั้น ถังน้ำมันทรงหยดน้ำขนาด 24 ลิตร เพลาแบบเปิดเปลือย พร้อมลูกเล่นการทำสีแบบลายเส้นคู่ ล้วนสะท้อนถึงเอกลักษณ์เฉพาะตัวของมอเตอร์ไซค์แบบทัวริ่งและครูสเซอร์ยอดนิยม และด้วยระบบสวิงอาร์มคู่ขนาบข้างและคานรับน้ำหนักแบบยื่น โครงสร้างตัวรถอันแข็งแกร่งจากมอเตอร์ไซค์ระดับตำนานอย่าง BMW R 5 จึงถูกถ่ายทอดสู่ยุคปัจจุบันได้อย่างดีเยี่ยม

BMW R 18 B

หัวใจหลักของ BMW R 18 B คือเครื่องยนต์บ็อกเซอร์ 2 สูบที่เรียกว่า “บิ๊กบ็อกเซอร์” ซึ่งนับเป็นเครื่องยนต์แบบ 2 สูบวางเรียงที่มีสมรรถนะสูงสุดในรถมอเตอร์ไซค์ที่ผลิตออกจำหน่ายในตลาดทั่วไป ด้วยความจุ 1,802 ซีซี ส่งพละกำลังสูงสุด 67 กิโลวัตต์ (91 แรงม้า) ที่ 4,750 รอบต่อนาที ส่งแรงบิด 158 นิวตันเมตรที่ 3,000 รอบต่อนาที พร้อมพลังขับเคลื่อนและเสียงเครื่องยนต์กระหึ่มเร้าใจ

ด้านแชสซีของ BMW R 18 B เป็นโครงสร้างเหล็กกล้าสองชั้น พร้อมแกนหลักชิ้นส่วนขึ้นรูปจากแผ่นเหล็ก ทั้งยังโดดเด่นด้วยมาตรฐานการผลิตคุณภาพสูงและความประณีตในรายละเอียดต่าง ๆ ขณะที่ระบบช่วงล่างแบบเทเลสโคปิก ทำงานร่วมกับสวิงอาร์มที่ติดตั้งโดยตรงบนคานรับน้ำหนักแบบยื่นที่สามารถปรับตั้งค่าความหนืดและการยุบตัวของสปริงได้ เพื่อให้ควบคุมล้อที่หล่อด้วยวัสดุอัลลอยน้ำหนักเบาชั้นเลิศได้อย่างแม่นยำ พร้อมมอบการขับขี่ที่นุ่มสบาย คานรับน้ำหนักด้านหลังสามารถปรับตั้งค่าความหนืดได้และมีระบบชดเชยโหลดอัตโนมัติเพื่อตอบสนองการขับขี่ที่เหนือระดับ ส่วนระบบเบรก มาในรูปแบบดิสก์เบรกคู่ที่ล้อหน้า และดิสก์เบรกเดี่ยวที่ล้อหลัง ทำงานร่วมกับคาลิเปอร์เบรกแบบตายตัว 4 ลูกสูบ และระบบเบรกเอบีเอสของบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด

BMW R 18 B

BMW R 18 B ติดตั้งอุปกรณ์มาตรฐานอย่างครบครัน เช่น ระบบควบคุมการขับขี่แบบอิเล็กทรอนิกส์ DCC (Dynamic Cruise Control) และระบบควบคุมการขับขี่แบบ Active Cruise Control (ACC) พร้อมด้วยมาตรวัดแบบอนาล็อก หน้าปัดทรงกลม 4 ช่อง และจอสีแสดงผลแบบ TFT ขนาด 10.25 นิ้ว พิมพ์ตัวอักษร “BERLIN BUILT” เสริมความคลาสสิกให้บีเอ็มดับเบิลยู R 18 B ได้อย่างลงตัว จอสีแสดงผลแบบ TFT ยังสามารถอ่านได้ง่าย และสามารถเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนผ่าน BMW Connected App เสริมความสะดวกในการใช้งานและแสดงข้อมูลการขับขี่อย่างเต็มที่ นอกจากนี้ ตัวรถยังมาพร้อมกับระบบเครื่องเสียง Marshall Gold Series Stage 1 ซึ่งประกอบด้วยลำโพง 2 ตัว และซับวูฟเฟอร์ 2 ตัว

เป็นเจ้าของ BMW R 18 B ได้ในราคา 1,500,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)


พร้อมกับรถยนต์รุ่นอื่น ๆ อีกมากมายให้ผู้สนใจได้สัมผัสอย่างใกล้ชิด พร้อมมอบข้อเสนอสุดพิเศษ และกิจกรรมอีกมากมายที่บูธ BMW, MINI และ BMW Motorrad ภายในงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 43 ณ ชาเลนเจอร์ฮอลล์ อิมแพ็ค เมืองทองธานี ตั้งแต่วันนี้ ถึง 3 เมษายน 2565