ประเมินสถานการณ์ โควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน โควิด-19 ไทย

สธ. พบติดโควิด-19 (โอมิครอน) ในไทยแล้ว 514 ราย /ประเมินสถานการณ์รับมือ

ประเด็นสำคัญ พบผู้ป่วยโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนแล้ว 514 ราย โดยส่วนใหญ่เป็นผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศ ส่วนผู้ติดเชื้อสายพันธุ์โอมิครอนในไทย ขณะนี้คลัสเตอร์ใหญ่สุด คือคลัสเตอร์กาฬสินธุ์ ประเมินสถานการณ์ แย่ที่สุดอาจจะมีผู้ป่วยสูงถึง 2-3 หมื่นราย/วัน ต่อเนื่องยาวไปถึงก.ค. 65…

Home / โควิด-19 / สธ. พบติดโควิด-19 (โอมิครอน) ในไทยแล้ว 514 ราย /ประเมินสถานการณ์รับมือ

ประเด็นสำคัญ

  • พบผู้ป่วยโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนแล้ว 514 ราย โดยส่วนใหญ่เป็นผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศ
  • ส่วนผู้ติดเชื้อสายพันธุ์โอมิครอนในไทย ขณะนี้คลัสเตอร์ใหญ่สุด คือคลัสเตอร์กาฬสินธุ์
  • ประเมินสถานการณ์ แย่ที่สุดอาจจะมีผู้ป่วยสูงถึง 2-3 หมื่นราย/วัน ต่อเนื่องยาวไปถึงก.ค. 65 ดีที่สุด แตะหลักหมื่นกว่ารายต่อวันช่วงกลางก.พ. 65 และลดลงเรื่อย ๆ
  • เตรียมพร้อมเตียงในการรองรับผู้ป่วยได้กว่า 52,000 ราย/วัน

วันนี้ ( 27 ธ.ค.) กระทรวงสาธารณสุขได้รายงานสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 โดยเฉพาะสายพันธุ์โอมิครอน ที่กำลังพบการติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้นทั่วโลกในขณะนี้ ซึ่งในขณะนี้พบผู้ป่วยติดเชื้อในประเทศแล้วจำนวนทั้งสิ้น 514 ราย เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

กราฟแสดงจำนวนผู้ป่วยโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนในประเทศไทย

มีรายงานพบแล้วใน 14 จังหวัด และส่วนใหญ่ยังคงเป็นผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศ โดยมีราว 20% ที่เป็นการติดเชื้อในประเทศ ซึ่งพบคลัสเตอร์หลักที่มีการระบาดอยู่ในขณะนี้ ที่จังหวัดกาฬสินธุ์

จำนวนผู้ป่วยโควิด-19 ที่ติดเชื้อสายพันธุ์โอมิครอนในประเทศไทย

จังหวัดผู้ติดเชื้อความเชื่อมโยง
กาฬสินธุ์
ขอนแก่น
มหาสารคาม
125
(รอยืนยัน 97)
เป็นพนักงานและลูกค้าในร้าน
ที่มีผู้ติดเชื้อจากเบลเยียมเข้าใช้บริการ
อุดรธานี6สัมผัสผู้ป่วยที่เดินทางกลับมาจากเบลเยียม
ลำพูน4เชื่อมโยงกับคลัสเตอร์กาฬสินธุ์
สุรินทร์1สัมผัสผู้ป่วยที่เดินทางกลับมาจากเดนมาร์ก
ภูเก็ต, กระบี่2แม่บ้านในโรงแรมที่มีผู้ติดเชื้อพักอาศัย
ผู้สัมผัสเสี่ยงสูงกับผู้ติดเชื้อสายพันธุ์โอมิครอน
ปัตตานี7ผู้สัมผัสเสี่ยงสูงจากผู้ป่วย
ในคลัสเตอร์ที่กลับมาจากซาอุฯ
กรุงเทพฯ1ผู้สัมผัสใกล้ชิดผู้ป่วยที่มาจากต่างประเทศ
(ภรรยา ผู้ป่วยนักบินที่มาจากไนจีเรีย)

อาการผู้ป่วยโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนในไทย

ในขณะนี้หลังจากที่มีผู้ป่วยโควิด-19 ในสายพันธุ์โอมิครอนในประเทศไทยส่วนใหญ่ จากข้อมูล 100 รายแรก พบว่า

  • ผู้ป่วยเกือบครึ่ง ( 48% ) ไม่มีอาการ
  • จำนวน 41% เป็นผู้ป่วยที่มีอาการ ซึ่งอาการที่พบมากคือ ไอ, เจ็บคอ, มีไข้, ปวดกล้ามเนื้อ, มีน้ำมูก
  • พบว่า มี 7 รายที่มีอาการปอดอักเสบ โดยมี 5 รายที่ไม่กระทบต่อระดับออกซิเจน และมี 2 รายที่ออกซิเจนออกซิเจนลดลงต่ำ แต่ยังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ
  • ยังไม่มีผู้ป่วยที่จำเป็นต้องใส่ท่อช่วยหายใจ

ซึ่งในรายงานอาการป่วยของผู้ป่วยในขณะนี้ คล้ายกับในรายงานที่พบในต่างประเทศ และในประเทศไทยมีเพียง 1 รายที่พบว่า มีอาการได้กลิ่นลดลง

การประเมินสถานการณ์โควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน

โดยในขณะนี้ ได้มีการประเมินสถานการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นจากการระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน โดยแบ่งเป็น 3 ระดับด้วยกันคือ

  1. กรณีที่แย่ที่สุด จะมีผู้ป่วยเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงเดือน ม.ค. 65 ยาวไปจนถึงสูงที่สุดในช่วงเดือน ก.ค. 2565 ที่คาดว่าจะมีผู้ป่วยสูงถึง 3 หมื่นราย/วัน
  2. กรณีได้รับความร่วมมือปานกลาง จะทำให้มีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นตั้งแต่ช่วงปลายเดือน ม.ค. 65 เป็นต้นไป และสูงที่สุดในช่วง มี.ค. – ก.ค.2565 ราว 15,000 คนต่อวัน และค่อย ๆ ลดลงอย่างช้า ๆ
  3. กรณีที่ดีที่สุด จะมีผู้ป่วยเพิ่มสูงขึ้นอย่างช้า ๆ และยืดไปได้ถึงช่วงเดือนกุมภาพันธุ์ ที่ระดับ 13,000 ราย / วัน และค่อย ๆ ลดลงเรื่อย ๆ

และจากการประเมินการติดเชื้อที่อาจจะเกิดขึ้น ก็ได้มีการประเมินสถานการณ์ของการติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นและนำไปสู่การเสียชีวิต โดยคาดการณ์ว่า

  • กรณีที่แย่ที่สุด จะมีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นตั้งแต่ช่วงกลางเดือน ม.ค. 65 เป็นต้นไป โดยเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนไปถึงจุดสูงที่สุดในช่วงเดือน มี.ค. 65 ที่จะมีผู้เสียชีวิตสูงกว่า 160 ราย/วัน
  • กรณีปานกลาง จะมีผู้เสียชีวิตเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ ตั้งแต่กลางเดือน ม.ค. 65 และสูงที่สุดในช่วงต้นเดือน ก.พ. 65 โดยมีผู้เสียชีวิตราววันละ 100 ราย/วัน ก่อนค่อย ๆ ลดลง
  • กรณีที่ดีที่สุด จะมีผู้เสียชีวิตค่อย ๆ ลดลง จากสถานการณ์ในปัจจุบัน และค่อย ๆ เพิ่มขึ้นในช่วงปลายเดือน ม.ค. 65 ก่อนไปสูงที่สุดในช่วงกลางเดือน ก.พ. 65 ที่ราววันละ 50 กว่าราย และค่อย ๆ ลดลง

สธ.เตรียมความพร้อม

จากการประเมินสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งจากผู้ป่วยโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนในขณะนี้ ส่วนใหญ่เป็นผู้ป่วยที่มีอาการเบา จึงไม่จำเป็นต้องให้ออกซิเจนแต่อย่างใด ในขณะที่จำนวนเตียงที่จะรองรับผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง ในเตียงระดับ 2 ที่ต้องให้ออกซิเจน แบบ Oxygen high flow และผู้ป่วยที่จะต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ มีอยู่ราว 11,000 เตียง ซึ่งประเมินแล้วจะสามารถรับผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงได้ราว 785 ราย/วัน และคาดว่า จะสามารถรองรับผู้ป่วยได้ที่ระดับ 52,300 ราย ต่อวันได้

จากกรณีที่แย่ที่สุดที่คาดว่าจะมีผู้ป่วยรายใหม่จำนวนกว่า 3 หมื่นรายต่อวัน แต่หากใช้รูปแบบในการรับผู้ป่วยตามที่วางมาตรการไว้ คาดว่าจะสามารถรองรับผู้ป่วยได้ในระดับมากกว่า 52,000 รายต่อวันได้ ดังนั้นจึงยังถือว่า ระบบสาธารณสุขของไทย จะสามารถรอบรับได้

สำหรับในพื้นที่กรุงเทพ ปริมณฑล ก็คาดว่าจะสามารถรองรับผู้ป่วยได้ราว 8,300 รายต่อวัน ซึ่งที่ผ่านมาในช่วงที่มีการระบาดมากที่สุดในพื้นที่กรุงเทพ – ปริมณฑล มีผู้ป่วยเพิ่มราว 5,000 ราย/วัน

ซึ่งจากที่มีการประเมินในขณะนี้ ยังไม่รวมกับการใช้การแยกกักตัวที่บ้าน สำหรับผู้ป่วยที่ไม่มีอาการ หรืออาการเบา