ไพโรจน์ อิสระเสรีพงษ์ ผู้สมัคร ส.ส.กทม.พรรคเพื่อไทย ยื่นหนังสือทวงถามความคืบหน้ากรณีร้องเรียนเลือกตั้งใหม่เขต17 หนองจอก
วันนี้ (16 พ.ค.62) ที่ สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายไพโรจน์ อิสระเสรีพงษ์ ผู้สมัคร ส.ส.กทม.พรรคเพื่อไทย จะเดินทางไปยื่นหนังสือทวงถามความคืบหน้ากรณีร้องเรียนเลือกตั้งใหม่เขต17 หนองจอก
โดยนายไพโรจน์ เปิดเผยว่า วันนี้ได้เดินทางมาที่ กกต. ภายหลังตนได้ยื่นหนังสือร้องเรียนคัดค้านการเลือกตั้งเขตที่ 17 หนองจอก เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2562 ซึ่งอยู่ในกรอบเวลาร้องคัดค้าน โดยมีการกระทำการที่น่าจะเข้าข่ายความผิดในข้อกฎหมายอย่างร้ายแรง
สืบเนื่องจากประธานชุมชนก้าวใหม่พัฒนาบึงปรง แจ้งว่ามีผู้สมัครพรรคการเมืองหนึ่ง ได้นำเงินจำนวน 5,000 บาท และเสื้อพรรคการเมืองจำนวน 2 ตัว มามอบให้โดยฝากเงินจำนวนดังกล่าวไว้กับบุตรชาย เพื่อให้ช่วยหาเสียงให้กับผู้สมัครที่มอบเงินให้ ซึ่งเป็นการกระทำผิดตามกฎหมายเลือกตั้งอย่างร้ายแรง
ต่อมาประธานชุมชนฯ ได้ทราบเรื่องดังกล่าวแล้ว เห็นว่าเป็นเรื่องผิดกฎหมายเลือกตั้ง จึงนำเงินจำนวนดังกล่าวไปคืนให้กับผู้สมัครที่นำเงินมามอบให้ในวันรุ่งขึ้น เรื่องดังกล่าวตนมองว่าแม้จะมีการนำเงินไปคืนให้แล้วแต่ก็ถือได้ว่าเป็นความผิดสำเร็จเป็นการเล็งเห็นผลและประสงค์ต่อผล
อย่างไรก็ตามภายหลังจากที่ประธานชุมชนฯ นำเงินไปคืนให้แล้ว กลับถูกต่อว่าและถูกข่มขู่ทางโทรศัพท์ ซึ่งมีคลิปเสียงที่บันทึกไว้เป็นหลักฐาน โดยมีลักษณะโกรธเคืองที่ไม่ยอมทำตาม จากพฤติกรรมของผู้กระทำความผิด และขั้นตอนการพิจารณาของ กกต. ตนจึงตั้งข้อสังเกตดังนี้
1.การกระทำดังกล่าวมีทั้งพยานบุคคลและบันทึกประจำวัน มีคลิปเสียงการพูดจาข่มขู่ และการยื่นคำร้องคัดค้านก็ตรงตามกรอบเวลา ตนมองว่าควรจะมีการสอบสวนโดยเร่งด่วน แต่กลับไม่ดำเนินการ โดยไปรับรองผลการเลือกตั้งในวันที่ 7 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ซึ่งต่างจากการให้ใบส้มกับผู้สมัคร ส.ส. พรรคเพื่อไทย ที่จังหวัดเชียงใหม่ ที่มีการนำเงินไปทำบุญให้พระสงฆ์ 2,000 บาท โดยตามกฎหมายพระสงฆ์หรือนักบวชไม่มีสิทธิ์ที่จะมาออกเสียงลงคะแนน แต่กลับได้ใบส้มอย่างรวดเร็ว
2.การนัดหมายการสอบพยาน เป็นไปอย่างยากลำบากของผู้ที่จะมาให้ถ้อยคำเป็นพยาน ทั้งๆ ที่การสอบปากคำดังกล่าวมีประเด็นเพียง ใครเป็นผู้พบเห็นการให้เงิน 5,000 บาท ให้ ณ สถานที่ใด และเมื่อเวลาใด ผู้ที่นำเงินไปให้เป็นใคร เพียงแค่นี้ก็น่าจะเพียงพอแล้ว แต่สอบสวนต้องยืดเยื้อกินเวลานานหลายชั่วโมง จนเป็นเหตุให้พยานที่จะมาให้ปากคำเป็นไปด้วยความยากลำบาก อีกทั้งระหว่างการสอบสวน ยังมีการพูดในลักษณะข่มขู่ด้วย ว่า อาจจะโดนผู้ที่ถูกกล่าวหาฟ้องกลับ