ลูกตายขณะคลอด เสียชีวิตขณะทำคลอด

พ่อแม่แจ้งเอาผิดแพทย์พยาบาล อ้างทำลูกตายขณะคลอด

สองสามีภรรยาแจ้งความดำเนินคดี กับทางทีมแพทย์และพยาบาล หลังลูกเสียชีวิตขณะทำคลอด เมื่อเวลา 13.20 น.วันที่ 9 มีนาคม 2562 นายบัวขาว ปราณีดุจศรี อายุ 47 ปี และนางจันจิรา…

Home / NEWS / พ่อแม่แจ้งเอาผิดแพทย์พยาบาล อ้างทำลูกตายขณะคลอด

สองสามีภรรยาแจ้งความดำเนินคดี กับทางทีมแพทย์และพยาบาล หลังลูกเสียชีวิตขณะทำคลอด

เมื่อเวลา 13.20 น.วันที่ 9 มีนาคม 2562 นายบัวขาว ปราณีดุจศรี อายุ 47 ปี และนางจันจิรา ปราณีดุจศรี อายุ 25 ปี สองสามีภรรยาได้เดินทางมาที่ สภ.เมืองปทุมธานี เพื่อแจ้งความกับ พ.ต.ท.ไพรัตน์ วรรณี สารวัตร (สอบสวน) สภ.เมืองปทุมธานี เพื่อให้ดำเนินคดีกับทางทีมแพทย์และพยาบาลของ ร.พ.ประชาธิปัตย์ อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี ที่กระทำการโดยประมาทที่ทำให้ลูกตนเองเสียชีวิตขณะคลอด โดยเหตุกาณ์เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 6 ต่อเนื่องวันที่ 7 มีนาคม 2562 ที่ผ่านมา

นายบัวขาว ปราณีดุจศรี เปิดเผยว่า ตนเองและภรรยาแต่งงานกันและอยากมีลูกไว้สืบตระกูล กระทั่งภรรยาเกิดตั้งท้องตนเองจึงนำไปภรรยาไปฝากท้องที่ ร.พ.เอกชนแห่งหนึ่ง จนภรรยาตั้งท้องได้ 12 สัปดาห์ จึงให้ภรรยาลาออกจากงานประจำคือพนักงานสาวห้างเพื่อมาอยู่บ้านเฉยๆ ตนเองจะหาเลี้ยงเอง เพราะกลัวว่าภรรยาต้องทำงานหนักแล้วจะแท้งลูก จนกระทั่งประกันสังคมขาดจึงดำเนินเรื่องทำบัตรทอง 30 บาท โดยมีต้นสังกัดอยู่ที่ ร.พ.ประชาธิปัตย์

จนวันที่ 6 มีนาคม 2562 เวลาประมาณ 10.00 น.ภรรยาเกิดเจ็บท้องน้ำเดินตนเองจึงนำไปส่งที่ ร.พ.ลำลูกกา เพราะอยู่ใกล้บ้านแต่เมื่อเดินทางไปถึงแล้วพยาบาลได้ทำการเช็คสิทธิ์ และตรวจสอบเบื้องต้นพบว่าต้นสังกัดอยู่ที่ ร.พ.ประชาธิปัตย์ ประกอบกับปากมดลูกเปิดอยู่ที่ 2 เซนติเมตร จึงรีบให้ตนเองพาภรรยาไปที่ ร.พ.ต้นสังกัดเพราะยังอยู่ในช่วงที่ปลอดภัย

ตนเองจึงเดินทางมาถึงในเวลาประมาณ 11.00 น.โดยเมื่อมาถึงพยาบาลได้นำภรรยาเข้าห้องคลอดไป โดยให้ตนเองเฝ้าหน้าห้องและพยาบาลก็ออกมาบอกตลอดเวลาว่าช่องคลอดเปิดกี่เซนติเมตร และแม่ของเด็กมีน้ำตาลในเลือดสูงเด็กตัวโตอาจจะคลอดยากหน่อยนะคุณพ่อ

กระทั่งเวลาผ่านไปเนิ่นนานจนเวลา 22.00 น.ภรรยาตนเองปวดท้องหนัก หายใจไม่ออกจึงร้องขอให้พยาบาลเรียกตนเองเข้าไปหา เมื่อตนเองเดินไปพบภรรยาที่นอนอยู่บนเตียงภรรยาจึงบอกให้ทราบว่า อุปกรณ์ที่ให้ออกซิเจนซึ่งปิดจมูกอยู่นั้นอ๊อกซิเจนไม่ออก ตนเองจึงลองนำมาครอบจมูกตนเองก็พบว่า ไม่มีอ๊อกซิเจนออกมาจึงไปแจ้งพยาบาล จนนำอ๊อกซิเจนมาเปลี่ยนให้

กระทั่งเวลา 23.00 น. พยาบาลได้พาภรรยาตนเองเข้าไปในห้องทำคลอด เพื่อทำคลอดก่อนจะให้ตนเองออกมารอหน้าห้องคลอด กระทั่งเวลา 01.00 น.ของอีกวันหนึ่งพยาบาลออกมาบอกตนเองว่า คุณพ่อทำใจนะลูกไม่ค่อยดีนะ ก่อนที่พยาบาลอีกคนตะโกนให้รปภ.ไปตามหมอ ก่อนที่พยาบาลคนหนึ่งจะทำการสนทนาทางโทรศัพท์กับใครคนหนึ่ง

เมื่อแพทย์เดินทางมาถึง ตนเองจึงเดินเปิดประตูตามหลังแพทย์เข้าไป เพราะคิดว่า ภรรยาตนเองมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นแน่ พยาบาลจึงถามว่าเข้ามาทำไม ตนเองจึงบอกไปว่าเป็นพ่อเด็ก

ตอนนั้นตนเองเห็นแล้วว่า ลูกตนติดคาอยู่ที่ช่องคลอดของภรรยา โดยมีอ๊อกซิเจนสวมอยู่ที่จมูกลูกชาย แต่ตนเองก็ไม่ได้โวยวายเพราะกลัวว่า ถ้าโวยวายภรรยาจะต้องเกิดอันตราย ก่อนที่แพทย์จะบอกให้ทำการส่งตัวโดยให้ตนเองไปรอข้างล่าง จนเวลาผ่านไป 20 นาทีคือเวลา 01.25 น. จึงทำการเคลื่อนย้ายภรรยาตนเองและลูกชายที่คลอดออดกมาเพียงครึ่งตัวขึ้นรถโรงพยาบาลส่งตัวไปที่ร.พ.ปทุมธานี

นายบัวขาว ปราณีดุจศรี เปิดเผยต่อไปอีกว่า เมื่อไปถึง ร.พ.ปทุมธานี ทีมแพทย์ได้ให้ความช่วยเหลือด้วยการใช้เครื่องดูดลูกตนเองออก ก่อนที่ทีมแพทย์จะออกมาบอกว่า กำลังช่วยชีวิตน้องอยู่หัวใจน้องไม่เต้น โดยแม่ปลอดภัย ตนเองจึงพูดกลับไปว่า ตนเองขอกราบช่วยลูกผมด้วย ก่อนที่ลูกจะเสียชีวิตในเวลาต่อมา โดยตนเองคิดว่า สาเหตุการเสียชีวิตนั้นมาจากทีมทำคลอดของ ร.พ.ประชาธิปัตย์ กระทำการผิดพลาดลูกตนเองหลังเสียชีวิตมีน้ำหนักถึง 3,800 กรัม

แต่ซาวน์ในการทำคลอดมีน้ำหนักได้เพียง 2,800 กรัม จริงๆ แล้วน่าจะต้องผ่าคลอด เพราะเด็กลำตัวขนาดใหญ่ อีกทั้งยังเป็นการบุตรคนแรก ลูกตนเองต้องมาเสียชีวิตเพราะไม่สามารถคลอดออกมาได้ และการเคลื่อนย้ายภรรยาตนเองจาก ร.พ.หนึ่งมาอีก ร.พ.หนึ่งโดยที่เด็กยังคาอยู่ที่ช่องคลอดนั้นปกติหรือ

ซึ่งที่ผ่านมาเองตนเองมีการฝากท้องตามปกติที่ ร.พ.แพทย์รังสิต หลังเกิดเหตุทาง ร.พ.ประชาธิปัตย์ได้ส่งเจ้าหน้าที่เดินทางมาเยียวยาโดยการมอบเงินให้ 10,000บาท ซึ่งตนเองไม่ต้องการต้องการได้ลูกกลับคืนมา นายบัวขาว ปราณีดุจศรีผู้เป็นพ่อกล่าวทั้งน้ำตา

พ.ต.ท.ไพรัตน์ วรรณี สารวัตร(สอบสวน) สภ.เมืองปทุมธานี เปิดเผยว่า เบื้องต้นได้รับแจ้งความและสอบปากคำไว้เป็นหลักฐานพร้อมประสานแพทย์ ร.พ.ปทุมธานีในการตรวจชันสูตรเบื้องต้น ทราบว่าเด็กได้เสียชีวิตมาก่อนถึงโรงพยาบาลปทุมธานี โดยเด็กหมดสติมา หลังจากนี้จะได้เรียกแพทย์และพยาบาลมาทำการสอบสวนเพื่อหาข้อเท็จจริง และส่งศพไปชันสูตรเพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงที่สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ร.พ.ธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติอีกครั้งหนึ่ง