ข่าวสดวันนี้ ไวรัสโคโรนา

สธ.ประกาศ COVID-19 เป็นโรคติดต่ออันตราย

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ได้ออกมาเปิดเผยถึงผลการประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ว่า ที่ประชุมมีมติประกาศให้ไวรัสโคโรนา สายพันธ์ุใหม่ 2019 (COVID -19) เป็นโรคติดต่ออันตราย ลำดับที่ 14…

Home / NEWS / สธ.ประกาศ COVID-19 เป็นโรคติดต่ออันตราย

ประเด็นน่าสนใจ

  • การออกประกาศนี้ หวังคุมโรคด้วยการบังคับใช้กฎหมาย
  • สำหรับสถานการณ์การระบาดโควิด-19 ในไทย ยังอยู่ในระดับ 2

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ได้ออกมาเปิดเผยถึงผลการประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ว่า

ที่ประชุมมีมติประกาศให้ไวรัสโคโรนา สายพันธ์ุใหม่ 2019 (COVID -19) เป็นโรคติดต่ออันตราย ลำดับที่ 14 ตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ.2558 ของไทย

โดยการมีมติเป็นเอกฉันท์ เพื่อเป็นการป้องกันและควบคุมไม่ให้มีการแพร่ระบาดอย่างมีประสิทธิภาพ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถปฏิบัติตามแนวทางที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนดไว้

ซึ่งการประกาศให้โรคดังกล่าวเป็นโรคติดต่อร้ายแรง ก็เพื่ออำนวยความสะดวกให้เจ้าหน้าที่สามารถใช้กฎหมายในการควบคุมโรคระบาดได้ตามพ.ร.บ.โรคติดต่อ หลังจากนี้จะเสนอมติให้ รมว.สาธารณสุข ลงนามก่อนจะประกาศราชกิจจานุเบกษา ให้เร็วที่สุดต่อไป

ส่วนสถานการณ์โรคในประเทศไทยยังอยู่ในระยะการระบาดระดับ 2 ไม่ใช่ระดับ 3 ตามที่มีกระแสข่าวปรากฏในสื่อ

สำหรับโรคติดต่อร้ายแรงในไทย ที่กระทรวงสาธารณสุข ออกประกาศ เรื่องชื่อและอาการสำคัญของโรคติดต่ออันตราย ดังนี้

  1. กาฬโรคต่อมน้ำเหลือง (Bubonic plague) กาฬโรคต่อมน้ำเหลือง (Bubonic plague) มีอาการไข้สูง หนาวสั่น เจ็บคอ ปวดศีรษะ ต่อมน้ำเหลืองบริเวณขาหนีบหรือรักแร้โตและมีหนอง หรือม้ามโตและมีหนอง

    -กาฬโรคชนิดโลหิตเป็นพิษ (Septicemic plague) มีอาการของโลหิตเป็นพิษ ไข้สูง ปวดศีรษะ อาเจียน คอหอยและทอนซิลอักเสบ อาจมีเยื่อหุ้มสมองอักเสบและจ้ำเลือดตามผิวหนัง

    -กาฬโรคปอด (Pneumonic plague) มีอาการไข้สูง หนาวสั่น ไอมีเสมหะปนเลือด หอบ เมื่อถ่ายภาพเอกซเรย์ที่ปอดจะพบลักษณะของปอดอักเสบ
  2. ไข้ทรพิษ (Smallpox) มีอาการไข้สูง ปวดตามตัว ปวดศีรษะ ปวดหลัง อ่อนเพลีย อาจมีอาการปวดท้องร่วมด้วย ระยะก่อนที่จะมีผื่นขึ้นจะมีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ หลังจากไข้สูงแล้วจะปรากฏผื่นขึ้นต่อมาจะกลายเป็นตุ่มตุ่มใสตุ่มหนองและตกสะเก็ดเป็นระยะเวลา 3-4 สัปดาห์

    โดยผื่นจะปรากฏที่บริเวณใบหน้าแขนและขามากกว่าบริเวณลำตัว โดยเฉพาะบริเวณที่ได้รับการเสียดสีบ่อย ๆ แผลที่ตกสะเก็ดเมื่อหายแล้ว อาจทำให้เกิดแผลเป็นรอยบุ๋มและอาจทำให้เกิดความพิการจนถึงขั้นตาบอดได้
  3. ไข้เลือดออกไครเมียนคองโก (Crimean – Congo hemorrhagic fever)อาการจะเริ่มอย่างเฉียบพลัน โดยมีไข้ปวดกล้ามเนื้อ มึนงง ปวดคอร่วมกับคอแข็ง ปวดหลัง ปวดศีรษะ เจ็บตาใบ หน้าแดงและกลัวแสง

    บางรายอาจพบอาการคลื่นไส้อาเจียนและเจ็บคอในระยะแรก ซึ่งมักพบร่วมกับท้องร่วงและปวดท้อง ต่อมาจะมีอารมณ์แปรปรวน สับสนและก้าวร้าว จากนั้นอาจมีอาการง่วงซึมเศร้า หัวใจเต้นเร็ว ต่อมน้ำเหลืองโต มีเลือดออกใต้ผิวหนังและเยื่อบุต่าง ๆ เช่น

    ปากเพดาน ปากลำคอ และพบเลือดออกจากส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น เลือดออกในกระเพาะอาหาร มีเลือดปนในปัสสาวะ มีเลือดกำเดา และเลือดออกจากเหงือก ในบางรายอาจพบอาการของตับอักเสบ
  4. ไข้เวสต์ไนล์ (West Nile Fever) มีอาการไข้ปวดศีรษะ หนาวสั่น มีเหงื่อออก มีผื่นที่ผิวหนัง อ่อนเพลีย ต่อมน้ำเหลืองอักเสบ ซึมปวดข้อ และมีอาการคล้ายไข้หวัดหรือไข้หวัดใหญ่ บางรายมีอาการคลื่นไส้อาเจียน ในรายที่มีอาการรุนแรงจะมีอาการทางสมองร่วมด้วย เช่น สมองหรือเยื่อหุ้มสมองอักเสบ มีไข้สูง คอแข็ง ซึม ชักและหมดสติ
  5. ไข้เหลือง (Yellow fever) มีอาการไข้สูงเฉียบพลันเป็นระยะเวลา 5-7 วัน ปวดศีรษะ ปวดหลัง อ่อนเพลีย คลื่นไส้อาเจียน อาจมีเลือดกำเดาเลือดออกในปากและถ่ายเป็นเลือด จะมีอาการตัวเหลืองหรือตาเหลืองในระยะแรก อาจมีอาการมากขึ้นในระยะต่อมา และอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้
  6. โรคไข้ลาสซา (Lassa fever) มีไข้ปวดศีรษะ เจ็บคอ ไออาเจียน ท้องร่วง เจ็บหน้าอกและปวดบริเวณช่องท้อง อาการไข้จะยังคงมีอยู่ตลอดหรืออาจไข้สูงเป็นระยะ มีอาการตาอักเสบ คออักเสบ และเป็นหนอง

    บางรายที่มีอาการรุนแรงจะมีอาการเลือดออกช็อก มีอาการบวมที่หน้า และคอจะมีปริมาณเกล็ดเลือดลดลงและการทำงานของเกล็ดเลือดผิดปกติ บางรายอาจมีอาการหูหนวกจากพยาธิสภาพที่เส้นประสาทสมองคู่ที่ 8
  7. โรคติดเชื้อไวรัสนิปาห์ (Nipah virus disease) มีอาการคล้ายเป็นหวัด มีไข้สูง ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ สมองอักเสบ บางรายอาจมีอาการของระบบทางเดินหายใจร่วมด้วย หรืออาจมีอาการไข้ร่วมกับอาการทางระบบประสาท

    เช่น วิงเวียนศีรษะ เดินโซเซซึมสับสนหรือชัก มีการเคลื่อนไหวของลูกตาผิดปกติ แขนและขามีการกระตุก ความดันโลหิตและชีพจรแปรปรวน และอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้
  8. โรคติดเชื้อไวรัสมาร์บวร์ก (Marburg virus disease) มีอาการไข้สูงเฉียบพลัน อ่อนเพลีย ปวดกล้ามเนื้อและปวดศีรษะมาก ตามมาด้วยอาการเจ็บคอ อาเจียน ท้องเสียและมีผื่นนูนแดงตามตัว มีอาการเลือดออกง่ายซึ่งมักเกิดร่วมกับภาวะตับถูกทำลาย ไตวาย มีอาการทางระบบประสาทส่วนกลางช็อก อวัยวะหลายระบบเสื่อมหน้าที่และอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้
  9. โรคติดเชื้อไวรัสอีโบลา (Ebola virus disease – EVD) มีอาการไข้ อ่อนเพลีย ปวดกล้ามเนื้อ ปวดศีรษะและเจ็บคอ ตามมาด้วยการอาเจียน ท้องเสียและมีผื่นขึ้น บางรายจะมีเลือดออกทั้งในอวัยวะภายในและภายนอก

    ในรายที่มีอาการรุนแรงจะพบว่ามีตับวายหรือไตวาย และอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ ส่วนใหญ่มักมีประวัติสัมผัสกับผู้ป่วยหรือสัตว์ป่วย หรือตายด้วยโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลา (Ebola virus disease – EVD)
  10. โรคติดเชื้อไวรัสเฮนดรา (Handra virus disease) มีอาการไข้สูง ปวดศีรษะ เจ็บคอ วิงเวียนซึมและสับสน หรืออาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ ในระยะแรกมักจะพบอาการปอดอักเสบ ในรายที่มีอาการรุนแรงจะมีอาการระบบทางเดินหายใจล้มเหลวและอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้
  11. โรคทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง หรือ โรคซาร์ส (Severe Acute Respiratory Syndrome – SARS) มีอาการไข้ไอหอบ บางรายมีอาการในระบบทางเดินอาหาร เช่น ท้องเสียอาเจียน ในรายที่มีอาการรุนแรงมักมีอาการแสดงของโรคปอดอักเสบ ระบบทางเดินหายใจล้มเหลว อวัยวะล้มเหลว โดยเฉพาะไตวาย และอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้
  12. โรคทางเดินหายใจตะวันออกกลางหรือโรคเมอร์ส (Middle East Respiratory Syndrome – MERS) มีอาการไข้ไอหอบ บางรายมีอาการในระบบทางเดินอาหาร เช่น ท้องเสีย อาเจียน ในรายที่มีอาการรุนแรงมักมีอาการแสดงของโรคปอดอักเสบ ระบบทางเดินหายใจล้มเหลว อวัยวะล้มเหลว โดยเฉพาะไตวาย และอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้
  13. วัณโรคดื้อยาหลายขนานชนิดรุนแรงมาก (Extensively drug – resistant tuberculosis (XDR – TB)) เป็นวัณโรคที่มีการดื้อยา 4 ขนานร่วมกัน ได้แก่ ไอโซไนอะซิด (Isoniazid) ไรแฟมพิซิน (Rifampicin) กลุ่มยาฟลูออโรควิโนโลน (Fluoroquinolones)

    และกลุ่มยาทางเลือกที่สองที่เป็นยาชนิดฉีด (Second – line injectable drugs) มีอาการไอเรื้อรังหรือไอเป็นเลือด เบื่ออาหาร น้ำหนักลด อ่อนเพลีย มีไข้ เจ็บหน้าอกหอบเหนื่อย สามารถแพร่เชื้อสู่ผู้อื่นได้ ในรายที่มีอาการรุนแรงจะมีอาการระบบการหายใจล้มเหลว และอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้
  14. COVID -19 หรือดรคไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ 2019