นายกรัฐมนตรี รายการคืนความสุข เทปสุดท้าย

เทปสุดท้าย!! นายกฯขอบคุณปชช.ที่ติดตามรายการคืนความสุขฯมาโดยตลอด

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ขอบคุณประชาชนที่ติดตามรายการคืนความสุขฯมาโดยตลอด พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวในรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ทางสถานีโทรทัศน์…

Home / NEWS / เทปสุดท้าย!! นายกฯขอบคุณปชช.ที่ติดตามรายการคืนความสุขฯมาโดยตลอด

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ขอบคุณประชาชนที่ติดตามรายการคืนความสุขฯมาโดยตลอด

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวในรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ทางสถานีโทรทัศน์ รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นครั้งสุดท้าย ตามที่ได้ระบุในการแถลงข่าวหลังการประชุม ครม. ว่าจะยุติ รายการ ว่า ขอขอบคุณประชาชนคนไทยทุกคน ที่ได้ให้ความสนใจติดตามรายการ “คืนความสุขให้คนในชาติ” และรายการ “ศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาอย่างยังยืน” มาโดยตลอดระยะเวลา 5 ปี ที่ผ่านมา

โดยได้น้อมนำยุทธศาสตร์พระราชทาน ของในหลวงรัชกาลที่ 9 คือ “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” อันเป็นหนึ่งในศาสตร์พระราชาที่สำคัญ มาให้หลักคิดและยกระดับจิตใจ เพื่อให้สามารถนำไปสู่การพัฒนาประเทศ ในภาพรวม ดังนั้น เนื้อหาสาระของรายการ นอกจากจะน้อมนำ”ศาสตร์พระราชา” ในมิติต่างๆ มากล่าวกับประชาชนทุกภาคส่วนแล้ว เพื่อเป็นการสร้างการรับรู้ ส่งเสริมความเข้าใจ และขอความร่วมมือด้วยไปพร้อมๆกัน

เป็นการปลูกต้นไม้ในใจคนไทย ด้วยการกระตุ้นเตือนด้านคุณธรรม จริยธรรม ความรักบ้านเมืองแผ่นดินเกิด ความสามัคคีปรองดองของคนในชาติ และอุดมการณ์ประชาธิปไตยที่ถูกต้อง สอดคล้องกับความเป็นไทยภายใต้ร่มพระบรมโพธิสมภาร ด้วยการช่วยกัน “สืบสาน รักษา ต่อยอด” ตามพระราโชบาย ของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

หลังจากนี้ เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อม ของประเทศชาติและประชาชนไทย สำหรับพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ที่ใกล้จะมาถึง ในห้วงวันที่ 4, 5 และ 6 พฤษภาคมนี้ โดยจะเริ่มตั้งแต่เดือนเมษายน จนถึงกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติ เดือนพฤษภาคม ดังนั้น เนื้อหารายการ ศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน ต่อไป จะเป็นการให้ความรู้เกี่ยวกับพระราชประวัติ พระราชกรณียกิจ เพื่อเป็นการถวายพระเกียรติแด่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

รวมทั้งการให้ข้อมูลเกี่ยวกับพระราชพิธี ครั้งสำคัญของประวัติศาสตร์ชาติไทย ตามโบราณราชประเพณี ซึ่งก็มีอยู่หลายเหตุการณ์ อาทิ การเตรียมน้ำอภิเษก จากแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ทั่วประเทศ การจารึกพระสุพรรณบัฏ แกะดวงพระบรมราชสมภพ และแกะพระราชลัญจกร และการเสด็จออกสีหบัญชร ให้ประชาชนได้เฝ้าทูล ละอองธุลีพระบาทฯ ถวายพระพรชัยมงคล และขบวนพยุหยาตรา ทางพระสถลมารค (ทางบก) และทางชลมารค (ทางน้ำ) เป็นต้น ทั้งนี้ เพื่อให้ประชาชนได้รับทราบ และมีส่วนร่วม อย่างพร้อมเพรียงกัน โดยรัฐบาลขอเชิญชวนพสกนิกรชาวไทย พร้อมใจกันสวมเสื้อสีเหลือง เป็นเวลา 4 เดือน นับตั้งแต่วันที่ 1 เมษายนนี้ เป็นต้นไป

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่ออีกว่า การเดินหน้าประเทศตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา ตามโรดแม็ปของ คสช. นั้น ตั้งแต่การฝ่าทางตันทางการเมือง การก้าวข้ามความขัดแย้ง การปลดล็อคด้านงบประมาณ เพื่อจะคืนความสุขให้กับคนไทย คืนรอยยิ้มให้แผ่นดินเรา การร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และการผ่านประชามมติ ตามหลักการประชาธิปไตย เพื่อแก้ปัญหาในอดีต การจัดทำยุทธศาสตร์ชาติและแผนปฏิรูปประเทศ เพื่อขับเคลื่อนประเทศไปสู่อนาคต ไปสู่ยุคดิจิทัล ไปจนถึงการกอบกู้ภาพ ลักษณ์ของประเทศ และยกระดับความมั่นใจในเสถียรภาพของประเทศ ในสายตาชาวโลก

ขอขอบคุณข้าราชการ พลเรือน ตำรวจ ทหาร ทุกคน ที่ได้ร่วมกันเป็น “สะพาน” ให้ประชาชนได้ก้าวข้ามกับดักต่างๆ ในอดีต ก้าวหน้าไปสู่อนาคตที่ดีกว่า และขอขอบคุณทุกภาคส่วนที่ได้ร่วมมือ ร่วมแรง ร่วมใจกัน จับมือ – จูงมือกัน นำพาประเทศไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ตามแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืนต่อไป

ในระหว่างที่ยังไม่มีการจัดตั้ง รัฐบาลใหม่ เข้ามาบริหารประเทศ ขอให้ประชาชนได้ติดตามข้อมูลข่าวสาร จากทุกช่องทางที่เป็นประโยชน์ และเชื่อถือได้ ทั้งช่องทางของรัฐบาล – กระทรวง – กรม – หน่วยงานต่างๆ เพื่อประกอบการตัดสินใจและเพิ่มการมีส่วนร่วมในการเดินหน้าประเทศ ตนเองจะยังปฏิบัติหน้าที่ อย่างเต็มกำลังความสามารถ

เพื่อบริหารราชการแผ่นดินต่อไปให้บ้านเมืองเปลี่ยนผ่านไปได้ ด้วยความสงบสุข ตามนโยบาย ยุทธศาสตร์ชาติ แผนการปฏิรูป 11 ด้าน และแผนแม่บทต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ไม่ให้หยุดชะงักภายใต้บริบทของโลกที่ยังคงผันผวนและอยู่เหนือการควบคุม เพื่อจะรักษาเสถียรภาพ – ความมั่นคง ของประเทศไว้ให้ดีที่สุด แต่สิ่งที่เป็นห่วงในปัจจุบัน ก็คือ ความพยายามจะสร้างเงื่อนไขในสังคม เพื่อประโยชน์ในการทางการเมือง ซึ่งอาจนำมาสู่ความขัดแย้ง “ครั้งใหม่” ในอนาคต