บริจาคเลือด สภากาชาด เลือดขาดแคลน

ด่วน!! สภากาชาดแจ้งเลือดขาดแคลน ส่งผลถึงขั้นต้องเลื่อนการผ่าตัด

ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ ชวนบริจาคโลหิต เนื่องจากเลือดคงคลังไม่พอจ่าย เพราะผู้ป่วยมีความต้องการใช้เลือดเพิ่มสูงขึ้น วันละ 2,600 – 3,000 ยูนิต ส่งผลกระทบทำให้โรงพยาบาล ต้องเลื่อนการผ่าตัด ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย ได้แจ้งว่า หากหน่วยงาน…

Home / NEWS / ด่วน!! สภากาชาดแจ้งเลือดขาดแคลน ส่งผลถึงขั้นต้องเลื่อนการผ่าตัด

ประเด็นน่าสนใจ

  • สภากาชาดไทย ได้แจ้งว่า เลือดคงคลังไม่พอจ่าย เพราะผู้ป่วยมีความต้องการเลือดสูงขึ้น
  • ขาดเลือดถึงขั้นต้องเลื่อนผ่าตัด
  • พร้อมแจ้งว่า หากหน่วยงานไหนประสงค์จะบริจาคเลือด ทางศูนย์สามารถจัดหน่วยเคลื่อนที่ไปยังหน่วยงานนั้นได้

ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ ชวนบริจาคโลหิต เนื่องจากเลือดคงคลังไม่พอจ่าย เพราะผู้ป่วยมีความต้องการใช้เลือดเพิ่มสูงขึ้น วันละ 2,600 – 3,000 ยูนิต ส่งผลกระทบทำให้โรงพยาบาล ต้องเลื่อนการผ่าตัด

ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย ได้แจ้งว่า หากหน่วยงาน หรือ องค์กรมีความประสงค์จัดกิจกรรมบริจาคโลหิต โดยให้ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ จัดหน่วยเคลื่อนที่ไปยังหน่วยงานของท่าน ติดต่อสอบถามเงื่อนไขการออกหน่วยรับบริจาคโลหิต ได้ที่ งานจัดหาผู้บริจาคโลหิตโทร. 0 2252 1637

หรือหน่วยงานของท่าน สนใจมาบริจาคโลหิตเป็นหมู่คณะ ณ ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ ถนนอังรีดูนังต์ ติดต่อสอบถามข้อมูล ได้ที่งานกิจกรรมสัมพันธ์และโครงการพิเศษ โทร. 0 2255 4567

คุณสมบัติผู้บริจาคโลหิต

1.อายุระหว่าง 17 ปี ถึง 70 ปีบริบูรณ์ ผู้ที่มีอายุ 17 ปี ไม่ถึง 18 ปี ต้องมีหนังสือยินยอมจากผู้ปกครอง

2.ผู้บริจาคโลหิตเป็นครั้งแรก ถ้าอายุเกิน 55 ปี – 60 ปี และให้อยู่ในดุลพินิจของแพทย์ และ พยาบาล

3.ผู้บริจาคโลหิตอายุมากกว่า 60 ปี – 70 ปี แบ่งเกณฑ์การคัดเลือกตามอายุ 2 ช่วง ดังนี้

3.1 การคัดเลือกผู้บริจาคโลหิตอายมากกว่า 60 จนถึง 65 ปี (ไม่รับบริจาคในหน่วยรับบริจาคโลหิตเคลื่อนที่)
– เป็นผู้บริจาคโลหิตประจำมาโดยตลอดจนกระทั่งอายุ 60 ปี
-บริจาคโลหิตได้ไม่เกินปีละ 4 ครั้ง คือทุก 3 เดือน
-ตรวจ Complete Blood Count (CBC),Serum Ferritin (SF) ปีละ 1 ครั้ง เพื่อประกอบการให้คำปรึกษาด้านสุขภาพทั่วไป และสำหรับแพทย์ใช้ผลการตรวจ SF ในการติดตามและ
ปรับการให้ธาตุเหล็กทดแทน

3.2 ผู้บริจาคโลหิตอายุมากกว่า 65 ปี จนถึง 70 ปี (ไม่รับบริจาคในหน่วยรับบริจาคโลหิตเคลื่อนที่)
– เป็นผู้บริจาคโลหิตต่อเนื่องสม่ำเสมอในช่วงอายุ มากกว่า 60 ปี จนถึง 65 ปี
– บริจาคโลหิตได้ไม่เกินปีละ 2 ครั้ง คือ ทุก 6 เดือน

– ต้องได้รับการตรวจคัดกรองสุขภาพโดยแพทย์ หรือพยาบาลของธนาคารเลือดหรือหน่วยงานรับบริจาคโลหิตซึ่งมีหน้าที่ในการตรวจคัดกรองสุขภาพผู้บริจาคโลหิต

– ตรวจ CBC และ SF ปีละ 1 ครั้ง

ทั้งสองช่วงอายุให้ดูผล hemoglobin จาก CBC ที่เจาะในวันเดียวกันกับที่จะบริจาคโลหิต หรือจากการเจาะปลายนิ้ว ถ้าอยู่ในเกณฑ์กำหนด อนุญาตให้บริจาคโลหิตได้ สำหรับผลการตรวจอื่นๆ ที่ไม่ได้ผลทันที ให้เก็บไว้ประกอบการให้คำปรึกษาหลังจากการบริจาคโลหิตครั้งนี้ ในโอกาสที่มาบริจาคโลหิตครั้งต่อไป หรือแจ้งผลโดยวิธีอื่นๆตามความเหมาะสม

ผู้บริจาคโลหิตในช่วงอายุ 60 ปี ถึง 70 ปี ที่บริจาคโลหิตไม่สม่ำเสมอ มีการหยุดบริจาคทิ้งช่วงเกิน 1 ปี ให้เจาะเลือดตรวจตามที่ระบุไว้และนัดให้ผู้บริจาคมาฟังผลเพื่อพิจารณาการรับบริจาคโลหิต ภายใน 1-2 สัปดาห์

และต้องเจาะเลือดจากปลายนิ้วตรวจฮีโมโกลบินซ้ำตามขั้นตอนการรับบริจาคโลหิต ในวันที่บริจาคโลหิตผู้ที่มีอายุเกิน 55 ปีจนถึง 60 ปี ที่ต้องการบริจาคโลหิตเป็นครั้งแรก ให้อยู่ในดุลพินิจของแพทย์/พยาบาล ไม่ควรรับบริจาคโลหิตจากผู้ที่อายุเกิน 60 ปี ในหน่วยรับบริจาคโลหิตเคลื่อนที่

4.น้ำหนักตั้งแต่ 45 กิโลกรัม ขึ้นไป

5.สุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงพร้อมที่จะบริจาคโลหิต

6.นอนหลับพักผ่อนเพียงพอในเวลาปกติของตนเอง ในคืนก่อนวันที่มาบริจาคโลหิต

7.ไม่มีประวัติการเจ็บป่วยด้วยโรคหัวใจ โรคตับ โรคปอด โรคเลือด โรคมะเร็ง หรือมีภาวะโลหิตออกง่ายและหยุดยาก

8.ไม่มีอาการท้องเสีย ท้องร่วง ใน 7 วันที่ผ่านมา

9.สตรีไม่อยู่ในระหว่างตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร และไม่มีการคลอดบุตรหรือแท้งบุตรภายใน 6 เดือน ที่ผ่านมา

10.น้ำหนักต้องไม่ลดผิดปกติในระยะ 3 เดือนที่ผ่านมา โดยไม่ทราบสาเหตุ

11.หากรับประทานยาแอสไพริน, ยาคลายกล้ามเนื้อหรือยาแก้ปวดอื่นๆ ต้องหยุดยามาแล้ว 3 วัน ถ้าเป็นยาแก้อักเสบหรือยาอื่นๆ ต้องหยุดยามาแล้ว 7 วัน

12.ไม่เป็นโรคหอบหืด, ผิวหนังเรื้อรัง, วัณโรค หรือภูมิแพ้อื่นๆ

13.ไม่เป็นโรคความดันโลหิตสูง, เบาหวาน, หัวใจ, ตับ, ไต, มะเร็ง, ไทรอยด์,โลหิตออกง่าย-หยุดยาก หรือโรคประจำตัวอื่นๆ

14.หากถอนฟัน อุดฟัน ขูดหินปูนหรือรักษารากฟัน ต้องทิ้งระยะอย่างน้อย 3 วัน กรณีผ่าฟันคุด ให้เว้นอย่างน้อย 7 วัน จนกว่าแผลจะหายสนิทไม่มีอาการอักเสบ

15.หากเคยได้รับการผ่าตัดใหญ่ต้องเกิน 6 เดือน, ผ่าตัดเล็ก ต้องเกิน 7 วัน

16.ท่านหรือคู่ครองของท่านต้องไม่มีพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศสัมพันธ์

17.ต้องไม่มีประวัติยาเสพติด หรือเพิ่งพ้นโทษ ต้องเกิน 3 ปี และมีสุขภาพดี

18.หากเจาะหู, สัก, ลบรอยสักหรือฝังเข็มในการรักษา โดยใช้เครื่อมือร่วมกัน หรือในสถานที่ที่มีคุณภาพความสะอาดต่ำ อาจติดเชื้อโรคทางกระแสโลหิต จึงควรงดบริจาคอย่างน้อย 1 ปี

แต่หากกระทำด้วยเครื่องมือทางการแพทย์ที่สะอาดปราศจากเชื้อ โดยผู้ชำนาญ และเป็นวัสดุที่ใช้ครั้งเดียวเฉพาะตัว เว้นระยะเวลาให้แผลอักเสบหายสนิทอย่างน้อย 7 วัน

19.หากมีประวัติเจ็บป่วยและได้รับโลหิตของผู้อื่น ต้องเกิน 1 ปี

20.หากมีประวัติเป็นมาลาเรีย ถ้าเคยเป็นต้องหายมาแล้วเกิน 3 ปี หากเคยเข้าไปในพื้นที่ ที่มีเชื้อมาเลเรียชุกชุม ต้องทิ้งระยะอย่างน้อยเกิน 1 ปี จึงบริจาคโลหิตได้

21.หากเคยเจ็บป่วยต้องรับโลหิตของผู้อื่นที่ประเทศอังกฤษในระหว่างปีพ.ศ.2523-2539 งดรับบริจาคโลหิตถาวร

22.หากเคยพำนักอยู่ในประเทศอังกฤษรวมระยะเวลา 3 เดือน ในระหว่างปี พ.ศ.2523-2539 หรือ เคยพำนักในยุโรปรวมระยะเวลา 5 ปี ตั้งแต่ปี พ.ศ.2523-ปัจจุบัน งดรับบริจาคโลหิตถาวร

23.หากเคยได้รับวัคซีน เพื่อป้องกันโรค หรือเคยรับเซรุ่ม ระยะเวลาที่งดรับบริจาคโลหิตขึ้นกับชนิดขอบวัคซีน หรือ เซรุ่ม

24.สตรีอยู่ระหว่างมีรอบเดือน ไม่เป็นข้อห้ามในการบริจาคโลหิต ถ้าขณะนั้นสุขภาพแข็งแรง มีโลหิตประจำเดือนไม่มากกว่าปกติ ไม่มีอาการอ่อนเพลียใดๆ ตรวจความเข้มข้นโลหิตผ่านก็สามารถบริจาคโลหิตได้

25.ก่อนบริจาคโลหิต ควรงดอาหารไขมันสูง เช่น ข้าวมันไก่ ข้าวข้าวหมู ของทอด ของหวาน แกงกะทิต่างๆ