ประเด็นน่าสนใจ
- โดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวสุนทรพจน์ต่อสาธารณะเป็นครั้งแรก หลังก้าวลงจากตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ
- กล่าวโจมตีภาวะความเป็นผู้นำของโจ ไบเดน ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน
- แย้มอาจลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในปี 2024
วอชิงตัน, 1 มี.ค. (ซินหัว) — เมื่อวันอาทิตย์ (28 ก.พ.) โดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวสุนทรพจน์ต่อสาธารณะเป็นครั้งแรก หลังก้าวลงจากตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ โดยกล่าวโจมตีภาวะความเป็นผู้นำของโจ ไบเดน ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน พร้อมประกาศจะสร้างความปรองดองและเสริมสร้างความแข็งแกร่งของพรรครีพับลิกัน รวมถึงแย้มอาจลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในปี 2024
โจมตีการเป็นประธานาธิบดีของไบเดน
ณ การประชุมความเคลื่อนไหวทางการเมืองอนุรักษ์นิยม (CPAC) ที่โรงแรมไฮแอต เมืองออร์แลนโดของรัฐฟลอริดา ทรัมป์อ้างว่าคณะบริหารภายใต้การนำของไบเดน “ทำงานเดือนแรกได้เลวร้ายที่สุด เมื่อเทียบกับประธานาธิบดีทั้งหมดในประวัติศาสตร์สมัยใหม่” พร้อมตราหน้าคณะบริหารชุดนี้ว่า “ต่อต้านการทำงาน ต่อต้านครอบครัว ต่อต้านพรมแดน ต่อต้านพลังงาน ต่อต้านผู้หญิง และต่อต้านวิทยาศาสตร์”
ทรัมป์ชี้ว่านโยบายผู้อพยพของไบเดนนั้น “ผิดศีลธรรม” และการตัดสินใจระงับการก่อสร้างกำแพงตลอดแนวพรมแดนสหรัฐฯ-เม็กซิโกของไบเดน สร้าง “ภัยพิบัติทางมนุษยธรรมและความมั่นคงแห่งชาติ” ที่ย้อนกลับมาทำร้ายสหรัฐฯ เสียเอง
อดีตประธานาธิบดีเรียกร้องไบเดนออกคำสั่งเปิดการเรียนการสอนของโรงเรียนตามปกติโดยทันที แม้การกลับมาเปิดโรงเรียนอย่างไรให้ปลอดภัยจะยังเป็นประเด็นถกเถียงอันดุเดือด พร้อมกับการที่สหรัฐฯ เผชิญกับเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่ก่อโรคโควิด-19 ชนิดกลายพันธุ์ ซึ่งมีความร้ายแรงกว่าเดิม
ทรัมป์ยังอ้างความดีความชอบจากแผนการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ทั่วประเทศ ระบุว่าคณะบริหารของไบเดนทำงานตามแผนการที่เป็นมรดกตกทอดจากคณะบริหารของทรัมป์ และย้ำเตือนว่า “จงอย่าลืมว่าเรื่องนี้เป็นผลงานของเรา” หลังจากคณะบริหารของไบเดนกล่าวหาว่าต้องเริ่มดำเนินงานพัฒนาวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ตั้งแต่ต้น
นอกจากนั้นทรัมป์มุ่งโจมตีนโยบายต่างประเทศของไบเดน ซึ่งรวมถึงนโยบายเกี่ยวกับตะวันออกกลาง การกลับเข้าร่วมข้อตกลงปารีสว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการกลับเข้าร่วมองค์การอนามัยโลก (WHO) ตลอดจนการยกเลิกมาตรการห้ามการเดินทางระหว่างประเทศ ซึ่งถูกบังคับใช้ในสมัยของทรัมป์
ครั้นพูดถึงนโยบายพลังงานสะอาดของไบเดน ทรัมป์ซึ่งสนับสนุนอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงฟอสซิล กล่าวว่าไบเดนสนับสนุน “กังหันลม” มากกว่าพลังงานแบบดั้งเดิม และจะนำพาประเทศหลุดจากการเป็นผู้ทรงอิทธิพลด้านพลังงานไปสู่หายนะ
แย้มท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดี 2024
การประชุมความเคลื่อนไหวทางการเมืองอนุรักษ์นิยมถือเป็นเวทีที่สนับสนุนทรัมป์มาโดยตลอด และการเปิดตัวรูปปั้นเหมือนทรัมป์สีทอง กอปรกับการส่งเสียงร้องเชียร์ของผู้คนส่วนใหญ่ที่ไม่สวมหน้ากากอนามัย แสดงให้เห็นว่างานปีนี้ช่วยประเมินบทบาทความสำคัญของทรัมป์ในพรรครีพับลิกันอีกครั้ง
ทรัมป์สยบข่าวลือที่ว่าเขาวางแผนก่อตั้งพรรคการเมืองใหม่หลังเกิดเหตุจลาจลที่อาคารรัฐสภาสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 6 ม.ค. ซึ่งทรัมป์ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ยุยงปลุกปั่นให้เกิดความไม่สงบ ระบุว่าเขาจะไม่ก่อตั้งพรรคการเมืองใหม่และจะไม่แบ่งแยกอำนาจและความแข็งแกร่งของพรรครีพับลิกัน แต่จะสร้างความปรองดองและความแข็งแกร่งอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนแทน
“ผมจะคว้าชัยชนะเหนือพวกเขา (พรรคเดโมแครต) เป็นครั้งที่ 3” ทรัมป์กล่าว ซึ่งไม่เพียงเป็นการบอกโดยนัยว่าเขาอาจจะลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยต่อไป แต่ยังสะท้อนว่าทรัมป์คิดว่าเขาควรชนะการเลือกตั้งเมื่อปี 2020 ทว่ากลับต้องพ่ายแพ้เพราะมีการฉ้อโกงการเลือกตั้งเป็นวงกว้าง ซึ่งเป็นการกล่าวอ้างที่ไร้หลักฐาน โดยทรัมป์ชนะการเลือกตั้งเพียงครั้งเดียวในปี 2016
ทรัมป์ยังกล่าวหาศาลยุติธรรมว่าไม่ดำเนินการใดๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ และเรียกร้องสมาชิกพรรครีพับลิกันล้มเลิกความตั้งใจผลักดันการปฏิรูปการเลือกตั้งอย่างครอบคลุม ขณะผู้สนับสนุนที่เข้าร่วมฟังนั้นต่างตะโกน “คุณชนะ คุณชนะ” เมื่อทรัมป์ยืนยันอย่างไร้หลักฐานว่าเขาเป็นผู้ชนะการเลือกตั้งปี 2020
อดีตประธานาธิบดียังกล่าวโจมตีสมาชิกพรรครีพับลิกันบางส่วน เช่น ลิซ ชีนีย์ สมาชิกรัฐสภา และมิตต์ รอมนีย์ สมาชิกวุฒิสภา ซึ่งลงคะแนนเสียงเห็นชอบว่าเขามีความผิดจากข้อกล่าวหายุยงปลุกปั่นจนทำให้เกิดการจลาจลที่อาคารรัฐสภาสหรัฐฯ และสมควรถูกถอดถอนออกจากตำแหน่งประธานาธิบดี โดยเรียกร้องพรรครีพับลิกันไล่ทั้งสองออกจากการเป็นสมาชิก ขณะเดียวกันทรัมป์ชื่นชมพันธมิตรที่ภักดีต่อเขาที่สุดอย่างจิม จอร์แดน สมาชิกรัฐสภา ซึ่งเข้าร่วมการประชุมครั้งนี้ด้วยและหวังให้ทรัมป์ลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีปี 2024
สุนทรพจน์ของทรัมป์ครั้งนี้มีขึ้นขณะเกิดรอยร้าวอย่างรุนแรงภายในพรรครีพับลิกัน เนื่องจากมีสมาชิกพรรคฯ 10 คน ลงคะแนนเสียงเห็นชอบถอดถอนทรัมป์ออกจากตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในเดือนมกราคม และสมาชิกวุฒิสภาพรรครีพับลิกัน 7 คน ลงคะแนนเสียงว่าเขามีความผิดจริงในเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งทำให้กระบวนการยื่นถอดถอนทรัมป์มีความเป็นหนึ่งเดียวจากสองพรรคมากที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ
“หากสมาชิกพรรครีพับลิกันไม่รวมกันเป็นหนึ่ง ผู้ที่เป็นสมาชิกพรรคฯ เพียงแต่ชื่อ ซึ่งห้อมล้อมพวกเราอยู่ จะบ่อนทำลายพรรครีพับลิกัน” ทรัมป์กล่าว
ผลการสำรวจอย่างไม่เป็นทางการ ซึ่งจัดทำขึ้นในที่ประชุมฯ ก่อนทรัมป์ขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ พบผู้ตอบแบบสอบถามร้อยละ 55 เห็นชอบให้เขาเป็นตัวแทนพรรครีพับลิกันลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีปี 2024 ซึ่งสะท้อนความเชื่อมั่นที่ไม่เปลี่ยนแปลงของกลุ่มผู้สนับสนุนต่อบทบาทภายในพรรครีพับลิกันของทรัมป์
ด้านมิตช์ แม็คคอนเนล ซึ่งก่อนหน้านี้กล่าวโจมตีทรัมป์หลังวุฒิสภามีมติให้เขาพ้นจากข้อกล่าวหา กลืนน้ำลายตนเองและกล่าวว่าเขาจะสนับสนุนทรัมป์อย่างที่สุด หากทรัมป์กลายเป็นผู้แทนพรรคฯ เข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีปี 2024
ทรัมป์กล่าวปิดสุนทรพจน์ด้วยการปลุกระดมผู้สนับสนุนให้ทายว่ามีผู้ใดคุณสมบัติเหมาะสมมากกว่าเขาในการเป็นตัวแทนพรรครีพับลิกัน เพื่อลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีปี 2024
“สิ่งแรกคือเราต้องครองเสียงข้างมากในรัฐสภา จากนั้นประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกันจะกลับสู่ทำเนียบขาวอย่างองอาจ ผมสงสัยเหลือเกินว่าผู้นั้นจะเป็นใคร” ทรัมป์ถามไปยังผู้สนับสนุน ซึ่งต่างลุกขึ้นตะโกนส่งเสียงกันอย่างกึกก้อง
ที่มา : Xinhua