มีหลายคนที่เคยเป็นสาวเอวบางร่างน้อยมาก่อน แต่เผลอลืมไปว่าร่างกายนั้นยุบหนอพองหนอ ผอมได้ก็อ้วนได้ กว่าจะรู้ตัว น้ำหนักก็พาตัวเองไปไกลจนเหนื่อยที่จะลด เรื่องราวของคุณเอมมี่ก็เช่นกัน ในอดีตเธอเคยหนักเพียงแค่ 45 กก. เท่านั้น และในวันนี้ที่ต้องจัดการกับน้ำหนักส่วนเกินเป็นสิบกิโล เธอทำได้ยังไง ตามมาอ่านกันค่ะ
“โดยปกติ เราเป็นคนชอบหาของอร่อยๆ กินเป็นประจำ กินทุกอย่างทั้งอาหารคาวและของหวาน ใครบอกที่ไหนดี ที่ไหนอร่อย เป็นต้องตามไปกินทุกที หรือถ้ามีร้านเปิดใหม่ๆ ก็ต้องไปลองให้ได้”
กินเก่งจนอ้วนไม่รู้ตัว
กินไปกินมา อ้วนขึ้นไม่รู้ตัวเลยค่ะ จากเมื่อก่อนเป็นคนผอมนะ หนักแค่ 45 กก.เอง กินจนอ้วนขึ้นเรื่อยๆ น้ำหนักพีคสุดคือ 63 กก. ตัวบวมมาก แต่เราก็ยังมั่นใจว่าเราไม่อ้วน เราสวย คนรอบข้างก็ทักให้เสียความมั่นใจตลอดว่าอ้วนๆๆ เราก็เถียงในใจว่าเราอ้วนหรอ? มันใช่หรอ? เลยหันกลับมามองดูตัวเองดีๆ อีกที เออ อ้วนจริงแฮะ ทำไมเราอ้วนได้ขนาดนี้ เลยเริ่มลดน้ำหนัก
ลดน้ำหนักผิดวิธี โยโย่
ตอนนั้นใช้วิธีลดน้ำหนัก แบบที่คิดว่าเราจะผอมได้เร็วแน่นอน ทำทุกอย่างคือ งดแป้ง กินอาหารน้อยมากๆๆ กินยาลดน้ำหนัก กินยาสมุนไพร บางวันก็ไม่กินอาหาร เคยไม่กินอาหารแบบ 3 วันติดกันก็มี ทำแบบนั้นอยู่พักนึง น้ำหนักก็ลดจริงนะ ก็ผอมลงจริง พอรู้สึกว่าผอมลง เราก็กลับไปกินอาหารแบบเดิมอีก ก็อ้วนขึ้นมาเหมือนเดิมอีก เราก็ลดน้ำหนักด้วยวิธีแบบเดิมอีก วนอยู่หลายรอบมาก สุดท้ายกลายเป็นระบบเผาผลาญร่างกายของเราพัง อาการโยโย่ก็ถามหา พอร่างกายพัง ลดแบบที่เคยทำยังไงมันก็ไม่ผอมแล้ว มีแต่อ้วนขึ้นๆ
คนรอบข้างก็ทักว่าอ้วนตลอด ว่าอ้วนอย่างนั้นอย่างนี้ นี่เราเข้าใจความรู้สึกของคนอ้วนได้ดีเลยนะ เถียงไม่ได้เลยเพราะอ้วนจริง แขนขาเบียดกันมาก ใส่อะไรก็ไม่สวย แล้วเสื้อผ้าก็เริ่มใส่ไม่ค่อยได้แล้วด้วย เลยตัดสินใจลดน้ำหนักครั้งสุดท้าย คิดว่าถ้าครั้งนี้ไม่สำเร็จก็จะเลิกลดแล้ว จะปล่อยให้อ้วนไปตามธรรมชาติเลย
เราตั้งใจกับการลดน้ำหนักครั้งนี้เป็นพิเศษ ด้วยการศึกษาข้อมูลของการลดน้ำหนักที่ถูกต้อง
1.เลือกกินอาหารที่ดี มีประโยชน์ ปรับเปลี่ยนอาหาร เช่น กินข้าวกล้องแทนข้าวขาว กินขนมปังโฮลวีทแทนขนมปังขาว ใช้หญ้าหวานแทนน้ำตาล ทำอาหารไม่ใช้น้ำมัน
2.กินอาหารเป็นเวลา ด้วยการจำกัดเวลาในการกิน คือเริ่มกินตั้งแต่ 10.00 – 17.00 เกินเวลาหลังจากนี้ก็ไม่กินเลย
3.ไม่กินจุบจิบ ไม่กินน้ำหวาน ไม่กินของทอด
4.ไม่เคร่งเครียดเกินไป มีวันที่ไปกินอาหารอร่อยๆ บ้าง อาทิตย์ละครั้ง หรือสองอาทิตย์ครั้ง
5.ไม่กินอาหารเสริมหรือยาลดน้ำหนักใดๆเลย
หลักๆ ก็ทำแบบนี้มาตลอด จนเวลาผ่านไป 4 เดือน น้ำหนักลดไป 10 กก.
เราลดแบบค่อยเป็นค่อยไป กินอาหารเต็มที่ ไม่ได้อดนะ แต่อาหารที่กินก็จะเลือกแต่อาหารที่ดีและมีประโยชน์กับร่างกาย ส่วนใหญ่ก็จะทำอาหารกินเองเพราะสามารถควบคุมการปรุงได้ อาหารของเราจะทำแบบง่ายๆ เพราะว่าบางทีมีเวลาน้อย วัตถุดิบต่างๆเราจะคัดก่อน เลือกแบบที่ชอบกินแต่มีประโยชน์ เวลากินจะได้ไม่เบื่อ
วิธีการปรุงก็เลือก ต้ม ผัด นึ่ง เท่านั้น และไม่ใช้น้ำมันเลย ส่วนผสมก็ใช้แค่ซีอิ๊วขาวกับหญ้าหวานเท่านั้นเอง เมนูก็ทำง่ายมากๆ เช่น กินไข่ต้มกับข้าวกล้องหยอดซีอิ๊ว ปลาย่างกินกับผัก หรือต้มผักกินกับไก่ สลับๆวนไปแบบนี้ ไม่เบื่อแน่นอน
ตารางออกกำลังกาย
หลังจากนั้นก็เริ่มออกกำลังกาย ไปฟิตเนส ไปคาร์ดิโอ ไปเวทเทรนนิ่ง อาทิตย์นึงก็จะไปฟิตเนสประมาณ 4-5 วัน น้ำหนักก็ลดลงมาอีกนิดหน่อย 3 กก. ปัจจุบันคือหนัก 50 กก.
ข้อดีของการออกกำลังกาย จะช่วยให้ตัวกระชับ ไม่นุ่มนิ่ม ลดสกินนี่แฟตออกไป มีกล้ามเนื้อเพิ่มมากขึ้น ระบบเผาผลาญของร่างกายดีขึ้น ทุกอย่างคือดีขึ้นมากจริงๆ
การลดน้ำหนักต้องใช้เวลา
อยากฝากถึงคนที่กำลังลดน้ำหนัก หรือคิดที่กำลังจะลดน้ำหนักนะ สิ่งที่เราทำนั้นมันไม่ยาก แล้วมันก็ไม่ง่าย และทุกคนสามารถทำได้ ต้องบอกก่อนเลยว่า การลดน้ำหนักนั้นมันต้องใช้เวลา บางคนลดไปแค่ 1-2 อาทิตย์ก็เริ่มท้อแล้ว ไม่อยากให้ล้มเลิกความตั้งใจ อย่าคิดว่ามันเป็นการอดอาหาร เราแค่เปลี่ยนสิ่งเราทำเป็นประจำเท่านั้นเอง เราเลือกสิ่งดีๆให้กับตัวเอง เราแค่มีวินัย เท่านั้นจริงๆ ลองดูนะ แล้วตัวเราในอนาคตจะรู้สึกขอบคุณตัวเราในวันนี้ ที่ทำสิ่งดีๆให้กับตัวเอง เรารู้สึกแบบนั้นจริงๆ
ขอบคุณเอมมี่ในวันนั้น ที่ทำให้เป็นเอมมี่ในวันนี้ Love myself
ขอบคุณผู้หญิงสร้างแรงบันดาลใจ เอมมี่-ปิยะฉัตร กัตติกมาส
IG : emmieishealthy
บทความนี้ได้รับอนุญาตให้เผยแพร่ได้บนเว็บไซต์ MThai.com เท่านั้น
ท่าออกกำลังกาย แก้อาการปลายนิ้วชา สำหรับสาวออฟฟิศ By เมจิ อโณมา
ลดน้ำหนัก นอกจาก “อกไก่” กินอะไรได้บ้าง?
