จากความสำเร็จของรถยนต์ซับแบรนด์ EQ และยุทธศาสตร์การรุกตลาดรถยนต์ไฟฟ้าผ่านโมเดลรถคอนเซ็ปต์หลายเซ็กเมนต์ในงาน IAA Mobility 2021 ล่าสุดทางบริษัทฯ เผยว่าในอนาคตจะเบนเข็มไปที่การลงทุนและพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบ ส่วนรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด จะชะลอและหยุดลงทุนตามลำดับ
“ไม่มีแผนการพัฒนาใหม่เพิ่มเติม เนื่องจากได้ลงทุนแล้ว ดังนั้นเราจึงใช้มัน” Markus Schäfer หัวหน้าฝ่ายพัฒนาของ Mercedes-Benz ได้ให้สัมภาษณ์กับทางสื่อเยอรมนีใน Handelsblatt ว่า
“ระบบขับเคลื่อนที่รวมทั้งมอเตอร์ไฟฟ้า และเครื่องยนต์สันดาปภายใน มีความซับซ้อนมากที่สุด อย่างไรก็ตามในท้ายที่สุดมันก็จะเป็นภาระค่าใช้จ่ายสำหรับรถด้วยเช่นกัน ขณะที่หากให้ความสำคัญกับระบบใดระบบหนึ่ง เช่น ให้้ความสำคัญกับมอเตอร์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่มีความซับซ้อนน้อยกว่า”
อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีปลั๊กอินไฮบริดยังคงมีความจำเป็นสำหรับรถยนต์บางประเภท เช่น รถยนต์ที่ยังคงจำเป็นต้องใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในในการมอบสมรรถนะหลัก ที่ต้องเสริมมอเตอร์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่เพื่อให้ผ่านมาตรฐานไอเสียที่เข้มงวด การกระตุ้นจากภาครัฐให้ผู้ผลิตรถทำการเร่งผลิตรถยนต์ไฟฟ้า นอกจากนี้สามารถนำเทคโนโลยีขุมพลังไฟฟ้าที่มีอยู่มาต่อยอดในรถ PHEV ได้ทั้งทางตรงและทางอ้อม
หนึ่งในนั้นคือ Mercedes-AMG GT 63 E Performance ซึ่งเป็นซูเปอร์คาร์ V8 ขุมพลังปลั๊กอินไฮบริด ที่ต้องการเค้นสมรรถนะที่สูงขึ้นด้วยกำลังสูงสุด 831 แรงม้า แรงบิด 1,400 นิวตันเมตร โดยที่คายไอเสียต่ำ และก็เพิ่งเปิดตัวในงาน IAA Mobility 2021 สด ๆ ร้อน ๆ
ปัจจุบัน Mercedes-Benz จะยังคงผลิตและจำหน่ายรถยนต์ขุมพลังปลั๊กอินไฮบริดไปสักระยะ และจะทยอยแทนที่รถยนต์ EV ในหลาย ๆ รุ่นจนครบทุกเซ็กเมนต์ 100%
ขณะเดียวกัน บริษัท ZF ซัพพลายเออร์ยานยนต์มองเห็นอนาคตสำหรับปลั๊กอินไฮบริดในทศวรรษหน้าว่าอาจจลดความสำคัญลงไม่เกินปี 2030 การพัฒนาเทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้าจะเป็นก้าวใหม่ของวงการยานยนต์ที่ต้องเร่งปรับให้ทันโลกมากที่สุด
โดยทาง Mercedes-Benz มองว่าเทคโนโลยีปลั๊กอินไฮบริดเป็นเทคโนโลยีที่สามารถเร่งการต่อยอดสู่การพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งในเวลานี้ก็เข้าสู่การเปลี่ยนผ่านจากลูกผสมน้ำมัน-ไฟฟ้า สู่ไฟฟ้า 100% อย่างเต็มรูปแบบ และสมเหตุสมผล เพื่อนำเสนอนวัตกรรมที่สมบูรณ์แบบที่สุดแก่ลูกค้า และแฟน ๆ ทั่วโลก
เครดิตข้อมูลจากhandelsblatt.com
