ต่างประเทศ มาตรการควบคุมโควิด-19 ยุโรป โควิด-19

หลายประเทศ เผชิญการประท้วงต่อต้านการล็อกดาวน์ – วัคซีนพาสปอร์ต

โดยเฉพาะประเทศในยุโรปหลายประเทศที่สถานการณ์ยังคุกรุ่น

Home / โควิด-19 / หลายประเทศ เผชิญการประท้วงต่อต้านการล็อกดาวน์ – วัคซีนพาสปอร์ต

ประเด็นสำคัญ

  • หลายชาติในยุโรปกำลังเกิดการประท้วงต่อต้านมาตรการการป้องกันโควิด-19 มากขึ้นต่อเนื่อง
  • ผู้ประท้วงระบุสาเหตุส่วนใหญ่คือ การฉีดวัคซีนเป็นสิทธิเสรีภาพในร่างกาย ไม่ควรถูกบังคับ และการล็อกดาวน์ รวมถึงการใช้ Green Pass ถือเป็นการละเมิดสิทธิและเสรีภาพ
  • รัฐบาลหลายชาติ ระบุ จำเป็นต้องต้องยกระดับเนื่องจากกำลังมีการระบาดที่เพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง และเป็นการเตรียมรับมือกับการระบาดใหญ่ที่อาจจะเกิดขึ้นในช่วงวันหยุดเทศกาลปลายปีนี้

หลังจากที่สถานการณ์การระบาดในหลายประเทศโดยเฉพาะในฝั่งสหรัฐ และยุโรป กำลังเผชิญการระบาดระลอกใหม่ ทำให้ต้องยกระดับมาตรการการป้องกันการระบาดเพิ่มมากขึ้น โดยการออกมาตรการล็อกดาวน์ มาตรการการให้ประชาชนฉีดวัคซีน รวมถึงการใช้วัคซีนพาสปอร์ตในการเดินทาง หรือ การเข้าไปยังสถานที่ต่าง ๆ อีกด้วย

โดยในขณะนี้สถานการณ์การประท้วงได้เพิ่มมากขึ้นในหลายประเทศด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นในสหราชอาณาจักร, เบลเยียม เนเธอร์แลนด์ จอร์เจีย นิวซีแลนด์ เยอรมนี ฝรั่งเศส ฯลฯ จากมาตรการที่เกิดขึ้น

สิทธิในร่างกาย-ฉีดวัคซีน

ในประเด็นของการประท้วงในหลายประเทศในยุโรป โดยผู้ประท้วงส่วนใหญ่ระบุว่า มาตรการในการบังคับใช้ Green Pass ในการจำกัดไม่ให้ผู้ที่ไม่ฉีดวัคซีน หรือไม่มีผลตรวจโควิด-19 เป็นลบ ห้ามใช้บริการสถานที่ต่าง ๆ เช่น ร้านอาหาร สถานบันเทิง ไนท์คลับ รวมถึงสนามกีฬาและฟิตเนส ถือเป็นการละเมิดสิทธิและเสรีภาพในการใช้ชีวิตของประชาชน ซึ่งในการฉีดวัคซีนนั้นถือเป็นสิทธิในร่างกาย และเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่แต่ละบุคคลจะต้องมีสิทธิในการเลือกฉีดหรือไม่ฉีดก็ได้

รัฐบาลหลายชาติกังวลระบาดหนัก

ในขณะที่เหตุผลของรัฐบาลในหลาย ๆ ชาติที่มีการยกระดับมาตรการเหล่านี้ระบุว่า สถานการณ์การระบาดกำลังเพิ่มมากขึ้น และยุโรปกำลังเผชิญกับการระบาดในระลอกใหม่ ที่มีจำนวนผู้ป่วยเพิ่มสูงขึ้น

นอกจากนี้ อัตราการฉีดวัคซีนในหลายประเทศเริ่มชะลอตัว และกำลังเข้าสู่เทศกาลวันหยุดยาวที่จะเกิดขึ้นในช่วงเดือนธ.ค. ที่จะถึงนี้ ทำให้หลายฝ่ายกังวลว่า จะเกิดการระบาดใหญ่อีกครั้งหนึ่ง หากไม่มีมาตรการรับมือที่รัดกุมเพียงพอ

ทำให้รัฐบาลหลายชาติในยุโรปเริ่มออกมาตรการป้องกันต่าง ๆ มากขึ้นและเคร่งครัดมากขึ้น จนนำไปสู่การประท้วงที่ลุกลามมากขึ้น

เนเธอร์แลนด์

การประท้วงต่อต้านมาตรการควบคุมการระบาดของโควิด-19 ในเนเธอแลนด์เกิดขึ้นต่อเนื่องเป็นวันที่ 2 แล้ว หลังจากที่รัฐบาลเนเธอแลนด์ได้ประกาศมาตรการป้องกันต่าง ๆ ออกมา ไม่ว่าจะเป็นการประกาศล็อกดาวน์บางพื้นที่ในช่วงฤดูหนาวนี้ การให้ปิดผับ บาร์ สถานบันเทิง รวมถึงร้านอาหาร หลัง 20.00 น. โดยมีระยะเวลา 3 สัปดาห์ นอกจากนี้ยังมีแผนที่จะยกระดับในการจำกัดไม่ให้ผู้ที่ไม่ได้ฉีดวัคซีนเข้าไปยังสถานที่บางแห่งอีกด้วย

สำหรับการประท้วงที่เกิดขึ้นในเนเธอแลนด์นั้นถือเป็นจุดที่มีความรุนแรงมากกว่าในจุดอื่น โดยไม่การออกมารวมตัวประท้วง เดินไปตามถนน รวมถึงการเผาทำลายรถยนต์ และสิ่งของต่าง ๆ ในถนนอีกด้วย

https://twitter.com/U2MS2/status/1461803835995918338

และท่ามกลางเหตุจราจลที่เกิดขึ้น มีผู้ได้รับจาดเจ็บจากการถูกยิงไปแล้วอย่างน้อย 2 ราย ซึ่งผู้ประท้วงระบุว่า เจ้าหน้าที่ได้ยิงใส่กลุ่มผู้ประท้วงที่มารวมตัวกัน โดยทางเจ้าหน้าที่ตำรวจระบุว่า การเดินขบวนประท้วงนั้นมีการลุกลามและกลายเป็นการจราจล มีการจุดไฟ และเผาทำลายรถยนต์ของเจ้าหน้าที่ ทำให้จำเป็นต้องใช้อาวุธในการเตือน และให้ผู้ชุมนุมสลายตัว

โดยมีการยิงเตือนผู้ชุมนุม และมีการยิงโดยตรงในสถานการณ์ที่อาจจะเป็นอันตรายถึงชีวิตกับเจ้าหน้าที่ อย่างไรก็ตามจะมีการสอบสวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง

อิตาลี

ในกรุงโรมและเมืองมิลาน ถือเป็นหนึ่งในจุดใหญ่ของการรวมตัวประท้วงต่อต้านมาตรการการล็อกดาวน์ โดยเฉพาะมาตรการ Green Pass ที่จะออกมาบังคับใช้โดยให้ผู้ที่จะเข้าใช้บริการร้านอาหาร โรงภาพยนตร์ ไนท์คลับ รวมถึงโรงยิมและสนามกีฬา ต้องแสดง Green Pass ก่อนเข้าใช้บริการ

ผู้ประท้วงหลายพันคน ตะโกนข้อความไม่ฉีดวัคซีน รวมถึงไม่ต้องการให้มีการบังคับใช้ Green Pass อีกด้วย ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ระบุว่า ผู้ประท้วงส่วนใหญ่คือกลุ่มต่อต้านวัคซีน โดยมีนักเคลื่อนไหวหลายรายที่ออกมาสนับสนุนการเคลื่อนไหวดังกล่าว

ฝรั่งเศส

สถานการณ์การประท้วงในกวาเดอลูป ซึ่งเป็นเกาะในทะเลแคริบเบียน ที่ลุกลาม นำไปสู่การจราจล ทำให้ทางการฝรั่งเศสต้องส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารเข้าไปควบคุมสถานการณ์หลังกลุ่มผู้ประท้วงได้ออกมารวมตัวกัน เพื่อต่อต้านมาตรการการบังคับใช้เคอร์ฟิวในช่วงเวลากลางคืน ตั้งแต่ 18.00 – 05.00 น. นำไปสู่การเกิดเหตุจราจล มีการปล้น-ชิงทรัพย์ ทำลายทรัพย์สินต่าง ๆ รวมถึงเกิดเหตุไฟไหม้ร้านค้า 2 แห่งที่ถูกปล้นอีกด้วย

ทางด้านของสหภาพแรงงานมีการประกาศนัดหยุดงานในวันจันทร์ที่จะถึงนี้ เพื่อต่อต้านมาตรการบังคับให้เจ้าหน้าที่ด้านสุขภาพต้องฉีดวัคซีนอีกด้วย

สวิตเซอร์แลนด์

กลุ่มผู้ประท้วงหลายพันคนได้ออกมาเดินขบวนประท้วงเพื่อแสดงความไม่เห็นด้วยในการออกกฎหมายในการควบคุมการระบาดของโควิด-19 ที่ถูกระบุว่า เป็นการเลือกปฏิบัติ

ออสเตรีย

มีการออกมาเดินขบวนประท้วงกันตั้งแต่รัฐบาลมีคำสั่งล็อกดาวน์ที่กำลังจะเริ่มในสัปดาห์น้า โดยมาตรการดังกล่าว กำหนดไม่ให้ประชาชนออกจากบ้าน ยกเว้นกรณีที่จำเป็น หรือออกไปซื้ออาหาร-สิ่งที่จำเป็น เป็นระยะเวลา 20 วัน รวมถึงมาตรการการฉีดวัคซีนให้กับประชาชนที่จะเริ่มในเดือน ก.พ. 2565

ทำให้มีผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับการล็อกดาวน์ และการบังคับให้ต้องเข้ารับวัคซีนป้องกันโควิด-19 ออกมาประท้วงจำนวนหลายหมื่นคน โดยส่วนใหญ่ทางเจ้าหน้าที่ระบุว่า เป็นกลุ่มฝ่ายขวาสุดโต่ง รวมถึงพรรคการเมืองฝ่ายขวาจัด กลุ่มต่อต้านวัคซีน ฯลฯ ออกมาร่วมกันเดินประท้วง

ซึ่งการประท้วงที่เกิดขึ้น เจ้าหน้าที่ตำรวจได้จับกุมแกนนำ รวมถึงผู้ชุมนุมบางส่วน แต่ไม่ได้มีการระบุตัวเลขที่แน่นอนว่า มีการจับกุมผู้ประท้วงไปแล้วกีราย ทำให้กลุ่มผู้ชุมนุมไม่พอใจ มีการขว้างปาสิ่งของเข้าใส่เจ้าหน้าที่ และทางเจ้าหน้าที่ก็ได้มีการใช้สเปรย์พริกไทย และเข้าสลายการชุมนุม

เยอรมนี

จากมาตรการที่ทางภาครัฐได้กำหนดให้มีการใช้ Green Pass ในการแสดงตัวสำหรับผู้ที่ได้รับวัคซีนแล้ว ในการเข้าใช้สถานที่ต่าง ๆ ไม่ว่าเป็นที่ทำงาน ร้านอาหาร โรงภาพยนตร์ โรงละคร รวมถึงฟิตเนส-โรงยิมต่าง ๆ

นอกจากนี้ ยังรวมไปถึงการเดินทางโดยรถไฟ รถประจำทาง หรือเรือเฟอร์รี่อีกด้วย ทำให้ประชาชนจำนวนมากที่ไม่เห็นด้วยกับมาตรการการบังคับใช้กรีนพาส ออกมาเดินขบวนประท้วงกัน

สหรัฐฯ

ในหลายรัฐของประเทศสหรัฐฯ มีการเดินทางประท้วงของกลุ่มผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับมาตรการการบังคับให้มีการฉีดวัคซีน โดยเฉพาะในกลุ่มพนักงานของรัฐ ที่จำเป็นจะต้องได้รับวัคซีน ในการกลับเข้ามาทำงานในสำนักงาน ซึ่งรวมถึงกลุ่มของบุคคลากรทางการแพทย์ด้วย ที่จะต้องได้รับวัคซีน

กลุ่มผู้ประท้วงบางรายระบุว่า มีอาชีพเป็นเจ้าหน้าที่พยาบาล ซึ่งไม่เห็นด้วยกับมาตรการที่จะต้องเข้ารับวัคซีน เนื่องจากถือเป็นสิทธิและเสรีภาพในร่างกาย และเป็นสิทธิทางการแพทย์ที่บุคคลสามารถจะปฏิเสธได้ ผู้ชุมนุมบางรายระบุว่า แม้ว่ามาตรการดังกล่าวที่ออกมาอาจจะทำให้ต้องตกงานก็ตาม หากไม่รับฉีดวัคซีน แต่การเสียอิสรภาพในร่างกายถือเป็นสิ่งที่สำคัญกว่า และไม่สามารถบังคับกันได้

ทางด้านของทำเนียบขาว ก็ได้ระบุว่า สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นถือเป็นความจำเป็นในการต่อสู้กับการระบาดที่กำลังเกดขึ้น และอาจจะเกิดการระบาดใหญ่ในช่วงฤดูหนาวนี้ ยอดผู้ป่วยโควิด-19 ในสหรัฐฯ มีแนวโน้มที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ

ออสเตรเลีย

ประชาชนจำนวนมากออกมาเดินขบวนประท้วงต่อคำสั่งที่ทางรัฐบาลออสเตรเลียได้ออกประกาศในการให้ประชาชนฉีดวัคซีนและการควบคุมการเดินทางต่าง ๆ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ต่อต้านวัคซีนหรือ Anti-Vax ได้ออกมาร่วมกันเดินขบวน โดยระบุว่า เป็นสิทธิและเสรีภาพ ในร่างกายของตัวเอง ในการที่จะเลือกที่จะฉีดหรือไม่ฉีดวัคซีน

ซึ่งการประท้วงเกิดขึ้นในหลายเมืองไม่ว่าจะเป็น ซิดนีย์ เมลเบิร์น

เดนมาร์ก

เดนมาร์กเป็นอีกหนึ่งประเทศที่มีแผนในการใช้วัคซีนพาสปอร์ต โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่ต้องเดินทางออกมาทำงาน ซึ่งที่นี่ก็มีกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า Men in Black ได้ร่วมกันแต่งชุดดำ และออกมาเดินประท้วงต่อต้านมาตรการดังกล่าว โดยเรียกร้องสิทธิและเสรีภาพในการเลือกที่จะฉีดหรือไม่ฉีดวัคซีน

ไอร์แลนด์เหนือ

รัฐบาลไอร์แลนด์ได้มีแนวคิดในการยกระดับการป้องกันโควิด-19 โดยเฉพาะการใช้วัคซีนพาสปอร์ต สำหรับผู้ที่จะเข้าใช้บริการไนท์คลับ บาร์ และร้านอาหาร ซึ่งแนวคิดนี้จะมีการลงมติสัปดาห์นี้ และจะมีผลบังคับใช้ในช่วงกลางเดือน ธ.ค.64 ที่จะถึงนี้ โดยจะทำให้ประชาชนที่ไม่ได้ฉีดวัคซีนที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีนหรือไม่มีแสดงผลตรวจหาเชื้อโควิด-19 ก็จะไม่สามารถเข้าใช้บริการต่าง ๆ รวมถึงตลาดได้

ผู้ประท้วงระบุว่า สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ เป็นการละเมินสิทธิและเสรีภาพ และมาตรการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นนั้นไม่ต่างจากการบังคับใช้กฎระเบียบแบบนาซี

อังกฤษ

กลุ่มผู้ประท้วงหลายร้อยคนได้ออกมาเดินขบวนไปตามถนนอ็อกซ์ฟอร์ดในกรุงลอนดอนเพื่อเรียกร้องให้ยกเลิกข้อกำหนดต่าง ๆ โดยเฉพาะมาตรการการบังคับใช้ Green Pass

https://twitter.com/GillianMcKeith/status/1462113087553687562

โครเอเชีย

ผู้ประท้วงส่วนใหญ่ ต่อต้านมาตรการการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 โดยระบุว่า เป็นสิทธิและเสรีภาพในร่างกายของแต่ละคนที่จะเลือกฉีด หรือไม่ฉีดวัคซีนก็ได้ การบังคับใช้มาตรการต่าง ๆ เพื่อให้ประชาชนต้องเข้ารับวัคซีนนั้นถือเป็นการจำกัดสิทธิและเสรีภาพ