ประเด็นสำคัญ
- ไปรษณีย์สหรัฐฯ กังวลปัญหาการขาดแคลนแรงงาน เนื่องจากข้อบังคับให้พนักงานของรัฐ ต้องฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ที่อาจจะเกิดปัญหาวิกฤติขาดแรงงานอย่างหนักได้
- ผู้เชี่ยวชาญเฝ้าระวังการระบาดในช่วงวันหยุดยาว – เทศกาลต่าง ๆ ที่กำลังจะมาถึงในเดือนธันวาคมนี้
- ปัญหาการเหยียดเชื้อชาติ-สีผิว กลายเป็นปัญหาในการเข้าถึงด้านสาธารณสุขของสหรัฐ ในการป้องกันการระบาดของโควิด-19
…
การไปรษณีย์สหรัฐฯ (USPS) ออกมาแสดงความกังวลต่อคำสั่งบังคับฉีดวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) ฉบับใหม่ ซึ่งกำหนดโดยรัฐบาลกลางสหรัฐฯ
พนักงานการไปรษณีย์สหรัฐฯ จำนวน 644,000 คน เปิดเผยในรายงานทางการเงินฉบับหนึ่งว่าการปฏิบัติตามข้อบังคับข้างต้น “อาจนำไปสู่ปัญหาด้านแรงงานและการขาดงานในระดับสูง”
รายงานระบุว่าพนักงานบางส่วนอาจเลือกลาออกจากงาน ซึ่ง “อาจทำให้ธุรกิจการไปรษณีย์หยุดชะงักอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพการบริการ รวมถึงทำให้ปริมาณพัสดุและรายได้ลดลงด้วย”
ก่อนหน้านี้รัฐบาลกลางสหรัฐฯ กำหนดให้พนักงานของบริษัทที่มีพนักงานตั้งแต่ 100 คนขึ้นไป เข้ารับการทดสอบโรคโควิด-19 เป็นประจำทุกสัปดาห์หรือฉีดวัคซีน ภายในวันที่ 4 ม.ค. พร้อมกำหนดให้เจ้าหน้าที่ดูแลสุขภาพประจำสถานพยาบาลที่เข้าร่วมโครงการรักษาพยาบาลของรัฐบาลกลางและรัฐบาลระดับรัฐต้องเป็นผู้ที่ฉีดวัคซีนครบโดสเช่นกัน
ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่รัฐบาลสหรัฐฯ เผยว่าคำสั่งฉีดวัคซีนใหม่จะมีผลบังคับใช้กับพนักงานราว 84 ล้านคนทั่วประเทศ
…
ผู้เชี่ยวชาญสหรัฐฯ เตือนโควิด-19 อาจระบาดซ้ำช่วงเทศกาลวันหยุด
ผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขออกมาเตือนกรณีจำนวนผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) ในสหรัฐฯ อาจเพิ่มสูงช่วงเทศกาลวันหยุดนี้
รายงานระบุว่าการระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกใหม่ในฤดูกาลนี้อาจไม่คงอยู่นานหรือสร้างความเสียหายหนักหน่วงเท่าปีก่อนหน้า เนื่องจากชาวอเมริกันฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 กันมากขึ้นแล้ว
อย่างไรก็ดี การระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกใหม่มีแนวโน้มเกิดขึ้นจริง บรรดาผู้นำทางการเมืองบางส่วนจึงกระตุ้นเตือนประชาชนให้ระมัดระวังตัว
ทั้งนี้ รายงานระบุเพิ่มเติมว่าปัจจัยการระบาดระลอกใหม่ในช่วงเทศกาลวันหยุด ประกอบด้วยสภาพอากาศอันหนาวเย็น ภูมิคุ้มกันจากการฉีดวัคซีนที่ลดลง การเดินทางและการรวมตัวที่เพิ่มขึ้น รวมถึงการที่ประชาชนระวังตัวน้อยลงด้วย
…
ชี้ปัญหา ‘เหยียดเชื้อชาติ’ กระทบสุขภาพ ‘กลุ่มคนชายขอบ’
เว็บไซต์ของมหาวิทยาลัยฮิวสตัน (University of Houston) ของสหรัฐฯ เผยว่าการเหยียดเชื้อชาติส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชากรกลุ่มชาติพันธุ์ ซึ่งจัดเป็นกลุ่มคนชายขอบในสหรัฐฯ
“สหรัฐฯ มีดัชนีด้านปัญหาสุขภาพและสังคมย่ำแย่ที่สุด ซึ่งมีต้นตอมาจากความไม่เท่าเทียมของรายได้” บทความกล่าว
บทความอ้างอิงการศึกษาใหม่ที่จัดทำโดยศาสตราจารย์คลินิก (Clinical Professor) ด้านสุขภาพประชากรของ มหาวิทยาลัยฯ ระบุว่าการเหยียดเชื้อชาติมีส่วนทำให้เกิดและยืดเวลาของปัญหาความไม่เท่าเทียมทางเศรษฐกิจและการเงิน ซึ่งลดทอนโอกาสการพัฒนาสุขภาพของประชากรกลุ่มดังกล่าว
นอกจากนั้นคณะผู้เชี่ยวชาญระบุว่าการเหยียดเชื้อชาติเป็นปัจจัยที่นำไปสู่ความไม่เท่าเทียมทางสุขภาพในสหรัฐฯ มายาวนานตั้งแต่ช่วงกลางศตวรรษที่ 19 แล้ว
ทางด้านของหนังสือพิมพ์เดอะ การ์เดียน (The Guardian) ของสหราชอาณาจักร เปิดเผยถึงความไม่เท่าเทียมในการเข้าถึงวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) ของเด็กในสหรัฐฯ
ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐฯ (CDC) ระบุว่าเด็กอายุต่ำกว่า 12 ปีในสหรัฐฯ ได้รับวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 โดสแรก มากกว่า 360,000 คนแล้ว
หนังสือพิมพ์ฯ รายงานอ้างจอร์จ กาบาเยโร วิสัญญีแพทย์เฉพาะทางและผู้ร่วมก่อตั้งกลุ่มอาสาสมัครโคเดอร์ส อเกนสท์ โควิด (Coders Against Covid) ว่าย่านชุมชนที่อาศัยของคนผิวขาวมีการตั้งจุดฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 มากกว่าย่านอื่นๆ ถึง 2 เท่า
…
“เรายังพบว่าภายในย่านชุมชนเหล่านั้น จุดฉีดวัคซีนมักกระจุกตัวอยู่ในพื้นที่ที่มั่งคั่งมากกว่าเป็นส่วนใหญ่” กาบาเยโรให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ฯ พร้อมเสริมว่าคนทุกเชื้อชาติและชาติพันธุ์ให้ความสนใจที่จะเข้ารับวัคซีนเท่าๆ กัน แต่ดูเหมือนว่าการเข้าถึงจะถูกจำกัด
กาบาเยโรแสดงความกังวลเกี่ยวกับการเข้าถึงวัคซีนในหมู่เด็กๆ โดยเรียกร้องให้ศูนย์ฯ แสดงข้อมูลที่โปร่งใสเกี่ยวกับการฉีดวัคซีนให้เด็กๆ ทุกเชื้อชาติและชาติพันธุ์ พร้อมชี้ว่าเหตุการณ์เหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความไม่เท่าเทียมด้านการตรวจโรคและการฉีดวัคซีนในหมู่ประชากรผู้ใหญ่ที่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้านี้
“เรายังคงทำพลาดเรื่องเดิมๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เราแค่ไม่มีความกระตือรือร้นเพียงพอที่จะจัดการปัญหาความไม่เท่าเทียมนี้ พวกเราแค่ต้องการเรียกร้องความยุติธรรมเท่านั้น” เขากล่าว
ทั้งนี้ สหรัฐฯ พบว่าผู้ป่วยเด็กครองสัดส่วน 1 ใน 4 ของผู้ป่วยใหม่ทั้งหมด ติดต่อกันเป็นเวลาหลายเดือน แม้เด็กอายุ 12 ปีขึ้นไปจะสามารถเข้าถึงวัคซีนได้แล้วก็ตาม
ที่มา – ซินหัว