ประเด็นสำคัญ
- หลังจากที่สิงคโปร์ฉีดวัคซีนให้กับประชาชนครบ 2 โดสเกิน 80% แล้ว รบ.เดินหน้า “อยู่รวมกับโควิด-19” โดยมีการปรับมาตรการต่าง ๆ เพิ่มเติม
- ตรวจพบเชื้อไม่มีอาการ-อาการเบา รักษาตัวที่บ้าน 10-14 วัน พ้นระยะใช้ชีวิตได้ปรกติ
- ผู้สัมผัสเสี่ยงสูง ไม่ต้องกักตัว ตรวจ ATK เป็นลบ ให้ป้องกันตนเอง ใช้ชีวิตปรกติ ตรวจซ้ำ 7 วัน
- ฉีดวัคซีนครบ นั่งร้านทานอาหารได้ เข้าห้างได้
…
จากการที่รัฐบาลสิงคโปร์ประกาศเดินหน้ามาตรการการอยู่ร่วมกับโควิด-19 อย่างจริงจัง แม้ว่าสถานการณ์การพบผู้ป่วยรายใหม่ยังคงเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ มากกว่าการระบาดในระลอกที่ผ่าน ๆ มา และยังคงทำสถิติสูงที่สุดต่อเนื่อง ๆ
สถานการณ์ยอดเพิ่ม แต่ควบคุมได้
โดยกระทรวงสาธารณสุขของสิงคโปร์มองว่า ผู้ป่วยโควิด-19 จำนวน 98.8% ของผู้ป่วยในขณะนี้ เป็นผู้ป่วยที่มีอาการเบา หรือไม่มีอาการ ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการฉีดวัคซีนให้กับประชากรครบ 2 โดส มากกว่า 83% ซึ่งในช่วงที่ผ่านมา ผู้ป่วยอาการหนักราว 54% เป็นผู้ที่ไม่ได้รับวัคซีน และส่วนที่เหลือคือ เป็นผู้ที่มีโรคอื่น ๆ ร่วมด้วย
และแม้ว่า อัตราการครองเตียงของผู้ป่วยหนักในห้องไอซียู ยังคงเพิ่มมากขึ้นในทิศทางเดียวกับจำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้น แต่กระทรวงสาธารณสุขของสิงคโปร์ประเมินว่า จากอัตราที่เพิ่มขึ้นนั้นยังคงสามารถรองรับได้ จากการเพิ่มเตียงผู้ป่วย จำนวนของเจ้าหน้าที่แพทย์ และพยาบาล
โปรแกรมรักษาตัวที่บ้าน
จากยอดผู้ป่วยรายใหม่ที่เพิ่มสูงขึ้น แต่เกือบ 99% เป็นผู้ป่วยอาการเบา หรือ ไม่มีอาการ ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลแต่อย่างใด สามารถรักษาตัว-พักฟื้นได้ที่บ้าน เพื่อสงวนเตียงไว้ใช้สำหรับผู้ป่วยหนัก ซึ่งในกลุ่มเด็กอายุ 5-11 ปี แม้ว่าจะมีการพบการติดเชื้อ แต่อัตราการป่วยหนักไม่มากนัก จึงสามารถรักษาตัวที่บ้านได้เช่นกัน โดยจะให้แยกรักษาตัวที่บ้านเป็นระยะเวลา
- 10 วัน สำหรับผู้ที่ได้รับวัคซีน และเด็กอายุต่ำกว่า 12 วัน
- 14 วัน สำหรับผู้ที่มีอายุ 12 ปีขึ้นไป และไม่ได้รับวัคซีน
โดยไม่จำเป็นต้องมีการตรวจหาเชื้อซ้ำแต่อย่างใด
ระยะการรักษาตนเองที่บ้านนั้น มีการยกเว้นในกลุ่มผู้ที่อายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไปและยังไม่ได้ฉีดวัคซีน, ผู้ที่มีอายุเกิน 80 ปีขึ้นไป, เด็กอายุน้อยกว่า 1 ปี หรือเด็กอายุ 1-4 ปีที่ได้รับการประเมินว่า ไม่เหมาะกับการรักษาตัวที่บ้าน
มาตรการการรักษาตัวที่บ้าน จะเริ่มใช้ตั้งแต่วันที่ 10 ต.ค. เป็นต้นไป โดยยังงมาตรการให้บริการช่วยเหลือทางการแพทย์ ผ่านระบบการรักษาทางไกล หรือ telemedicine จากแพทย์ ในกรณีที่ต้องการคำปรึกษาฉุกเฉิน
เปลี่ยนแนวทางการตรวจหาเชื้อ
จะมีการตรวจ RT-PCR สำหรับผู้ที่มีอาการป่วยเท่านั้น ส่วนผู้ที่ไม่มีอาการหรืออาการเบาจะใช้ชุดตรวจ ATK เป็นหลัก เพื่อกักตัวเอง และป้องกันไม่ให้กระจายสู่ผู้อื่น โดยได้มีการปรับปรุงเพิ่มเติมคือ
การตรวจหาเชื้อนั้น หากเป็นผู้ที่มีผลตรวจเป็นบวก และมีอาการป่วย ให้ไปพบแพทย์ ซึ่งจะให้คำปรึกษาต่าง ๆ โดยขั้นต้นของการรักษาคือการใช้โปรแกรมรักษาตัวที่บ้าน ตามเวลาที่กำหนด
กรณีที่ตรวจพบเชื้อ แต่ไม่มีอาการ ให้กักตัวเองเป็นเวลา 72 ชม. หลังจากนั้นให้ตรวจซ้ำ หากผลเป็นลบ (ไม่พบเชื้อ) ก็กลับมาใช้ชีวิตตามปรกติได้ทันที ให้เน้นการรับผิดชอบตนเองในการป้องกันการระบาด
และสำหรับ ผู้ที่เป็นผู้สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย ให้ทำการตรวจหาเชื้อด้วย ATK ซึ่งหากไม่พบเชื้อ ก็ไม่จำเป็นต้องกักตัวแต่อย่างใด แต่ให้รับผิดชอบในการป้องกันส่วนบุคคลแทน ซึ่งหากมีความจำเป็นที่จะต้องเดินทางออกไปนอกที่พัก ก็ให้ทำการตรวจหาเชื้อในวันที่จะเดินทาง ซึ่งหากไม่พบเชื้อ ก็สามารถออกไปทำกิจวัตรต่าง ๆ ได้ จนพ้นระยะ 7 วัน
ซึ่งมาตรการนี้จะมีการเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 11 ต.ค. เป็นต้นไป
เพิ่มวัคซีนในกลุ่มเด็ก – กระตุ้นเข็ม 3
สำหรับในมาตรการด้านวัคซีน ทางสิงคโปร์จะมีการเพิ่มการฉีดวัคซีนให้กับเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 12 ปี ซึ่งคาดว่าจะดำเนินการได้ในช่วงต้นปีหน้า หลังผลการศึกษาได้ข้อสรุปเรียบร้อย ในขณะเดียวกัน ก็จะมีการจัดวัคซีนกระตุ้นให้กับกลุ่มผู้ที่มีอายุเกิน 30 ขึ้นไป เพิ่มเติมจากที่มีการฉีดกระตุ้นในกลุ่มผุ้ที่มีอายุเกิน 50 ปี
วัคซีน กลายเป็นตัวชี้วัดการใช้ชีวิต
สำหรับการฉีดวัคซีนนั้น สิงคโปร์ฉีดวัคซีนครบ 2 โดสให้กับประชาชนมากกว่า 80% ทำให้ได้มีการปรับมาตรการเพิ่มเติม สำหรับผู้ที่ยังได้รับวัคซีนไม่ครบโดส โดยห้ามรับประทานอาหารในร้าน ศูนย์อาหาร หรือไม่อนุญาตให้เข้าไปยังสถานที่ท่องเที่ยว ห้างสรรพสินค้าต่าง ๆ
อย่างไรก็ตาม ยังคงยกเว้นให้บางกลุ่มเช่น กลุ่มเด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี และผู้ที่หายป่วยจากโควิด-19 โดยจะต้องมีผลการตรวจหาเชื้อเป็นลบ และยังไม่อนุญาตให้รวมกลุ่มเกิน 2 คนขึ้นไป
ที่มา – กระทรวงสาธารณสุข สิงคโปร์