ประเด็นสำคัญ
- จำนวนผู้ป่วยรายใหม่จากโควิด-19 ในสิงคโปร์ยังคงสูงกว่า 3 พันรายต่อเนื่องเป็นวันที่ 4 แล้ว และทำสถิติสูงที่สุดนับตั้งแต่มีการระบาดในสิงคโปร์
- แม้ยอดผู้ป่วยรายใหม่ ยังคงสูงที่สุดอย่างต่อเนื่อง นายลี เซียน ลุง ออกแถลงการณ์ เดินหน้าใช้ชีวิตร่วมกับ Covid-19
- มุ่งเป้าใช้ชีวิตให้เป็นปรกติตามชีวิตวิถีใหม่ พร้อมเปิดประเทศเพิ่ม
- ระบุ วัคซีนถือเป็นจุดเปลี่ยน อัตราการการฉีดของสิงคโปร์สูงที่สุดในโลก และตายจากโควิด-19 ต่ำที่สุดในโลก
- ขอผู้ตรวจพบเชื้อ รักษาตัวที่บ้านเป็นหลัก สงวนเตียงใน รพ.ไว้ให้ผู้ที่จำเป็น
- สธ. ประกาศเพิ่ม อนุญาติให้นั่งทานอาหารในร้าน-ศูนย์การค้า-ศูนย์อาหาร เฉพาะผู้รับวัคซีนครบโดสแล้ว และไม่เกิน 2 คน
…
สถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ในประเทศสิงคโปร์ ยังคงพบผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงทำสถิติสูงที่สุดอย่างต่อเนื่องด้วยเช่นกัน นับตั้งแต่ในช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมา
โดยกระทรวงสาธารณสุขของสิงคโปร์ได้รายงานยอดผู้ป่วยโควิด-19 เพิ่มอีก 3,590 ราย รวมผู้ป่วยสะสม 120,454 ราย สำหรับยอดผู้ป่วยรายใหม่ เป็นการพบการติดเชื้อในชุมชน 2,825 ราย และอีก 765 รายเป็นการพบในหอพักแรงงานต่างชาติในสิงคโปร์ ซึ่งมีผู้ป่วยที่จำเป็นต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล 1,564 ราย โดยมีจำนวน 307 ราย ที่ต้องให้ออกซิเจนเพิ่มเติม และมี 41 รายอยู่ในห้อง ICU โดยผู้ป่วยหนักส่วนใหญ่นั้นเป็นผู้ที่มีอายุสูงเกินกว่า 60 ปี
สำหรับยอดเสียชีวิตนั้น รายงานเสียชีวิตเพิ่มขึ้นอีก 6 ราย รวมเสียชีวิตสะสม 142 ราย โดยใน 6 รายนี้ มี 2 รายที่ไม่มีประวัติการได้รับวัคซีนมาก่อน มี 3 รายที่ได้วัคซีนแล้วหนึ่งโดส และอีก 1 ราย ได้รับวัคซีนครบถ้วนแล้ว
นายกฯ สิงคโปร์แถลงสถานการณ์
จากสถานการณ์ยอดการพบผู้ป่วยรายใหม่ที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ในช่วงสายวันนี้ ( 9 ต.ค.) นายลี เซียน ลุง นายกรัฐมนตรีของสิงคโปร์ได้ออกแถลงการณ์ถึงสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ในสิงคโปร์ โดยระบุว่า
สิงค์โปร์ ยังคงต้องใช้เวลาอีกอย่างน้อย 3 – 6 เดือน ในการไปสู่การใช้ชีวิตวิถีใหม่ หรือ New Normal ซึ่งภายใต้ความปรกติใหม่ที่เกิดขึ้น โรงพยาบาลที่ให้บริการการรักษาจะเข้าสู่การให้บริการตามปรกติของธุรกิจ (business as usual) เหมือนก่อนหน้าที่จะเกิดการระบาดของโควิด-19
ซึ่งในการคลายล็อก ลดมาตรการต่าง ๆ ที่เป็นข้อจำกัดในการป้องกันการระบาดนั้น จำเป็นที่จะต้องทำอย่างระมัดระวัง เพื่อป้องกันแรงกดดันที่เกิดขึ้นต่อระบบสาธารณสุข ซึ่งในขณะนี้ สถานการณ์การระบาดของเชื้อโควิด-19 ในสายพันธุ์เดลต้า ยังสามารถแพร่กระจายได้สูงขึ้น ถึงแม้ว่า ประชาชนชาวสิงคโปร์จะได้รับวัคซีนแล้วก็ตาม และประเทศก็ไม่สามารถล็อกดาวน์ได้ตลอดไป เช่นเดียวกับทุกประเทศที่ยอมรับในข้อจำกัดนี้ ดังนั้นแนวทางการอยู่ร่วมกับโควิด-19 จึงเป็นสิ่งจำเป็น
นาย ลีเซียน ลุง ยังกล่าวถึงการล็อกดาวน์ด้วยว่า “มันไม่ได้ผล และมีค่าใช่จ่ายสูงมาก เราไม่สามารถจะดำเนินชีวิตได้ เข้าร่วมกิจกรรมทางสังคมต่าง ๆ เปิดพรมแดน และฟื้นฟูเศรษฐกิจได้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก่อให้เกิดความเครียด ซึ่งแนวทาง Zero COVID ก่อนหน้านี้ ไม่เหมาะกับสถานการณ์ในขณะนี้
วัคซีนคือจุดเปลี่ยน
นายลี เซียน ลุง ระบุว่า การที่สิงคโปร์มีวัคซีนฉีดให้กับประชาชนนั้น ถือเป็นหนึ่งในจุดเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ และสิงคโปร์มีอัตราการฉีดวัคซีนสูงที่สุดในโลก คือ เกือบ 85% ของประชากร ได้รรับวัคซีนแล้ว
“วัคซีนจะทำให้โควิด-19 กลายเป็นโรคที่ไม่อันตรายอีกต่อไป”
แน่นอน การต่อสู้กับโควิด-19 จะยังคงดำเนินต่อไป ซึ่งสถานการณ์ในขณะนี้ นายลีเซียน ลุง ระบุว่า สถานการณ์นั้นดีขึ้นมาก แม้ว่าเราอาจจะไม่รู้สึกอย่างนั้น แต่เรากำลังก้าวไปสู่ชีวิตวิถีใหม่ ซึ่งการระบาดในระลอกใหม่อาจจะเกิดขึ้นได้ และอาจจะต้องมีมาตรการ circuit breaker อีกครั้งหนึ่งก็ได้ในอนาคต หากยอดผู้ป่วยโควิด-19 พุ่งสุงขึ้นเร็วเกินไป เพื่อป้องกันระบบสาธารณสุข
โดยนายลี เซียน ลุง กล่าวว่า ประชาชนชาวสิงคโปร์คือหน้าด่านแรกในการปกป้องระบบสาธารณสุข โดยใช้มาตรการป้องกันตนเองให้ปลอดภัย ลดกิจกรรมทางสังคม นอกจากนี้ยังแนะให้ประชาชน ไม่จำเป็นต้องรีบไปโรงพยาบาล เพราะผู้ที่ตรวจพบเชื้อส่วนใหญ่สามารถหายได้เองที่บ้าน ขอสำรองโรงพยาบาลให้กับผู้ป่วยที่มีความจำเป็นจริง ๆ เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม นายลี ยอมรับว่า ในกลุ่มผู้สูงอายุนั้นมีความเสี่ยงต่อโควิด-19 มากกว่านั้น เป็นเรื่องจริง แม้ว่าจะได้รับวัคซีนแล้วก็ตาม แต่การได้รับวัคซีน รวมถึงวัคซีนกระตุ้นนั้น ช่วยลดความรุนแรงของการป่วยหนักได้มากกว่า 10 เท่าตัว ซึ่งสิงคโปร์เป็นหนึ่งในประเทศที่มีอัตราการเสียชีวิตจากโควิด-19 น้อยที่สุดในโลก
ซึ่งในข้อกังวลของการฉีดวัคซีนให้กับกลุ่มผู้ที่อายุน้อยกว่า 12 ปีนั้น ทางการสิงคโปร์มีแผนในการจัดหาวัคซีนให้กับเยาวชน โดยคาดว่า น่าจะมีความชัดเจนในช่วงต้นปี 2565 นี้ ในขณะเดียวกัน เตรียมความพร้อมในเรื่องของการรองรับผู้ป่วยมากขึ้น โดยเฉพาะออกซิเจน และเตียงไอซียู
ผู้ได้รับวัคซีนไม่ครบโดส งดใช้บริการศูนย์อาหาร / ห้างฯ
ในขณะเดียวกัน กระทรวงสาธารณสุข ของสิงคโปร์ได้ออกประกาศมาตรการล่าสุด โดยระบุว่า ให้ผู้ที่ได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 ครบ 2 โดสแล้วเท่านั้น ที่จะสามารถนั่งรับประทานอาการในร้าน ศูนย์อาหาร หรือศูนย์ค้า รวมถึงร้านกาแฟด้วย โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 13 ต.ค. นี้
ส่วนผู้ที่ยังได้รับวัคซีนไม่ครบ ให้ซื้อกลับบ้านเท่านั้น
เตรียมพร้อมเปิดพรมแดน
ส่วนหนึ่งของการกลับมาใช้ชีวิตวิถีใหม่ ในการอยู่ร่วมกับโควิด-19 นั้น นายลี ระบุถึงการเปิดพรมแดน เชื่อมต่อกับประเทศอื่น ๆ อีกครั้ง เช่น เยอรมนี บูรไน รวมถึงเกาหลีใต้ ซึ่งโครงการนี้มีความจำเป็นเพราะนักลงทุน ทั้งระดับภูมิภาคและระดับโลก จำเป็นต้องเดินทางทำธุรกิจ รวมถึงนักเรียนที่ต้องเดินทางไปเรียนต่อยงต่างประเทศ