ประเด็นน่าสนใจ
- กรมวิทยาศาสตร์การแพทย แถลงการเฝ้าระวัง-ตรวจหาสายพันธุ์เชื้อโควิด-19
- พบกว่า 90% ของการระลาดระลอกใหม่เป็นเชื้อสายพันธุ์อัลฟ่า (หรือชื่อเดิม สายพันธุ์อังกฤษ)
- พบสายพันธุ์เดลต้า (อินเดีย) ราว 6% แต่ต้องเฝ้าระวังต่อเนื่อง เพราะระบาดได้เร็วกว่า
กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข วันนี้ (7 มิ.ย.) ได้มีการแถลงข่าวเกี่ยวกับการเฝ้าระวังสายพันธุ์โควิด-19 ในประเทศไทย ในช่วงการระบาดในระลอกใหม่นี้ โดยระบุว่า ในตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ได้มีการถอดรหัสพันธุกรรมกว่า 30,000 รหัสพันธุกรรม ซึ่งเป็นความร่วมมือกันของทุกประเทศในโลก เพื่อเฝ้าระวังและตรวจสอบสายพันธุ์ของเชื้อโควิด-19 พร้อมทั้งมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลกันอย่างต่อเนื่อง เพื่อนำข้อมูลมาใช้ในการควบคุมการระบาดของโควิด-19
องค์การอนามัยโลกเปลี่ยนชื่อเรียก
จากที่ก่อนหน้านี้ จะมีการเรียกชื่อสายพันธุ์ต่างๆ ตามสถานที่ที่มีการค้นพบและรายงาน แต่จากที่ผ่านมาเมื่อเรียกตามชื่อดังกล่าวพบปัญหา เช่นที่ มีการเรียกเชื้อสายพันธุ์ไทย ทั้งๆ ที่ผู้ติดเชื้อ ไม่ได้อยู่ในประเทศไทยเลย เป็นผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศ จึงได้มีการใช้จากความไม่เหมาะสมบางประกาศจึงได้มีการประกาศเปลี่ยนชื่อใหม่ เพื่อให้เหมาะสมมากขึ้น ตามตัวอักษรกรีก
![](https://img-ha.mthcdn.com/6JKkhwekKS7D8EtzlzkwP3Xxd-k=/mthai.com/app/uploads/2021/06/covid19-var-jun7-03-1024x552.jpg)
สำหรับในขณะนี้ มีการจัดกลุ่มของสายพันธุ์ต่าง ๆ ไว้ โดยมีกลุ่มสายพันธุ์ที่ถูกจัดให้เป็นสายพันธุ์ที่น่าเป็นห่วงได้แก่
- สายพันธุ์อัลฟ่า (สายพันธุ์อังกฤษเดิม , B.1.1.7)
- สายพันธุ์เบต้า (สายพันธุ์แอฟริกาใต้เดิม, B.1.351)
- สายพันธุ์แกมม่า (สายพันธุ์บราซิลเดิม , P.1)
- สายพันธุ์เดลด้า (สายพันธุ์อินเดียเดิม, B.1.617.2)
![](https://img-ha.mthcdn.com/F4uH2zW1JabxkiHa6lH5bjpB-TE=/mthai.com/app/uploads/2021/06/covid19-var-jun7-02-1024x562.jpg)
พบเชื้อสายพันธุ์อัลฟ่า ระบาดมากสุดในขณะนี้
ที่ผ่านมา ประเทศไทยได้มีการตรวจค้นหาสายพันธุ์ของเชื้อโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง ซึ่งทำให้สามารถเฝ้าระวังและควบคุมการระบาดได้ เช่นกรณีที่พบในพื้นที่อ.ตากใบ ที่มีการพบเชื้อสายพันธุ์เบต้า (หรือชื่อเดิมคือ สายพันธุ์แอฟริกาใต้) และสามารถควบคุมการแพร่ระบาดไว้ได้ และยังไม่พบการระบาดในพื้นที่อื่น
ในช่วงของการระบาดระลอกใหม่นี้ จากจำนวนตัวอย่างที่มีการตรวจหาสายพันธุ์ไป 3,964 ราย มีการค้นพบว่า สายพันธุ์เดิม หรือที่เรียกกันว่า สายพันธุ์ G ที่มีการระบาดตั้งแต่ครั้งแรกในประเทศไทย เมื่อต้นปี 2563 ที่ผ่านมา ปัจจุบันมีพบจำนวนไม่มากนัก เมื่อเทียบกับสายพันธุ์อัลฟ่า (หรือชื่อเดิม สายพันธุ์อังกฤษ) ที่มีการพบในช่วงนี้มากที่สุด และเรียกได้ว่า มีการระบาดและพบเป็นส่วนใหญ่ในขณะนี้ คือ ราว 90%
แนวโน้มสายพันธุ์อินเดียเริ่มเพิ่มสูงขึ้น
ซึ่งในขณะนี้ เริ่มมีพบสายพันธุ์อื่น อย่างสายพันธุ์เดลต้า (หรือชื่อเดิม สายพันธุ์อินเดีย) ที่ในขณะนี้ตรวจแล้วกว่า 230 ราย หรือราว 6% ติดเชื้อในสายพันธุ์นี้ ซึ่งพบมากสุดในกรุงเทพฯ คือจำนวน 206 ราย
![](https://img-ha.mthcdn.com/kwq1uUcHZW-D0bycEVjmT07GATI=/mthai.com/app/uploads/2021/06/covid19-var-jun7-01-1024x540.jpg)
- นนทบุรี 2 ราย
- พิษณุโลก 2 ราย ซึ่งเดินทางจากพื้นที่หลักสี่ กทม. ไปยังพิษณุโลก
- สระบุรี 2 ราย
- อุดรธานี 17 ราย
- อุบลราชธานี , บุรีรัมย์, สมุทรสงคราม จังหวัดละ 1 ราย
โดยมีการเชื่อมโยงกับจุดที่พบในพื้นที่หลักสี่และกระจายตัวไปในพื้นที่ต่าง ๆ ซึ่งในกรณีที่อุดรธานี ยังคงอยู่ในระหว่างการสอบสวนและหาข้อสรุป ว่าเกี่ยวข้องกับเคสที่หลักสี่มาน้อยเพียงใด เพราะมีการรวมกลุ่มทำกิจกรรม (บายศรีสู่ขวัญ) จึงมีการติดกันเป็นกลุ่มก้อน
ส่วนผลการถอดรหัสพันธุกรรมทั้งตัวพบว่า สายพันธุ์เดลต้า (หรือชื่อเดิม สายพันธุ์อินเดีย) มีความคล้ายคลึงและใกล้เคียงกับสายพันธุ์สายพันธุ์เดลต้า (หรือชื่อเดิม สายพันธุ์อินเดีย) ในพื้นที่ของจังหวัดนราธิวาส และในประเทศมาเลเซีย, บังคลาเทศ
ยังกังวลการระบาดสายพันธุ์เบต้า
สำหรับที่ทางกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์เฝ้าระวังและจับตามองเป็นพิเศษ คือ สายพันธุ์เบต้า (ชื่อเดิม สายพันธุ์แอฟริกาใต้ / B.1.351) ซึ่งมีการพบในพื้นที่อ.ตากใบ รวมแล้ว 26 ราย ที่คาดว่าข้ามมาจากทางประเทศมาเลเซีย
อย่างไรก็ตาม ยังคงพบการระบาดในเฉพาะพื้นที่อ.ตากใบ และแม้ว่าจะมีการตรวจสายพันธุ์ในพื้นที่ใกล้เคียง แต่ยังไม่พบในพื้นที่อื่น ดังนั้นจึงยังต้องเฝ้าระวังต่อเนื่องต่อไป
ส่วนอีกตัวหนึ่งที่เฝ้าระวังอยู่เช่นกันคือ สายพันธุ์ B.1.524 ที่พบในประเทศมาเลเซีย และมีการพบในประเทศไทย ในพื้นที่นราธิวาสและปัตตานี จำนวน 10 ราย แต่เชื้อตัวนี้จะยังไม่มีความน่ากังวลอย่างใด
สำหรับสายพันธุ์เบต้า ที่มีการพบการติดเชื้อนั้น ได้มีการถอดรหัสพันธุกรรมเชื้อทั้งตัว ก็พบว่า
![](https://img-ha.mthcdn.com/SVskfo7X6-iFS6JbAnRHPUKxHFw=/mthai.com/app/uploads/2021/06/covid19-var-jun7-04-1024x551.jpg)
สิ่งที่ต้องเรียนรู้ และเฝ้าระวัง
สำหรับเชื้อนั้นมีความสามารถกลายพันธุ์ เพื่อให้ตัวมันเองสามารถดำรงอยู่ในโลกนี้ได้ เป็นธรรมชาติของเชื้อโรค ซึ่งสิ่งที่ประชาชนต้องเข้าใจคือ เชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ จะยังคงอยู่กับเราต่อไปอย่างแน่นอน เราต้องยอมรับว่า ไม่มีทางที่เราจะกำจัดไวรัสนี้ให้หมดไปจากโรคได้ ตัวของเชื้อไวรัสเอง มีความสามารถในการสืบพันธุ์ได้อย่างรวดเร็ว จึงมีโอกาสในการกลายพันธุ์ เกิดสายพันธุ์ใหม่ๆ ได้อย่างต่อเนื่อง
จากสายพันธุ์ดั้งเดิมที่พบในเมืองอู่ฮั่น ไม่มีความสามารถในการกระจายเชื้อได้น้อย แต่เมื่อกระจายออกไป และแตกลูกหลานได้เร็วขึ้น กลายเป็นสายพันธุ์ที่ระบาดได้เร็ว ขึ้น จนกระทั่งสายพันธุ์เดิม หายไปเกิดสายพันธุ์ใหม่ ๆ ที่ระบาดได้เร็วขึ้น
ในไทยเอง ก่อนหน้านี้มีการพบสายพันธุ์ G เป็นจำนวนมาก แต่พอมีสายพันธุ์อัลฟ่า (สายพันธุ์อังกฤษเดิม , B.1.1.7) มีกลายเป็นสายพันธุ์ G แทบไม่พบเลย มาเป็นพบสายพันธุ์อัลฟ่า
ในขณะนี้ สายพันธุ์เดลด้า (สายพันธุ์อินเดีย) แพร่ได้เร็วกว่า สายพันธุ์อัลฟ่า (สายพันธุ์อังกฤษ) จึงมีความน่ากังวลได้มากกว่า ซึ่งในหลายประเทศก็กังวลกับการแพร่ระบาดของสายพันธุ์นี้
ในขณะที่สายพันธุ์เบต้า (ชื่อเดิม สายพันธุ์แอฟริกาใต้ / B.1.351) นั้นมีความน่ากังวลเรื่องของการลดประสิทธิภาพของวัคซีน แต่ก็มีการแพร่กระจายได้ไม่ดีเหมือนสายพันธุ์ สายพันธุ์เดลด้า (สายพันธุ์อินเดีย) หรือ สายพันธุ์อัลฟ่า (สายพันธุ์อังกฤษ) จึงยังพอมีโอกาสที่เรายังพอตั้งหลักได้ ทั้งการรักษาพยาบาลที่ระบบสาธารณสุขยังพอรับได้ วัคซีนสามารถเตรียมพร้อมพัฒนาต่อยอดได้ อย่างไรก็ตามก็วางใจไม่ได้
หากเทียบเคียงกับในของเชื้อไข้หวัดใหญ่ที่ผ่านมา พบว่า เชื้อโควิด-19 มีการเปลี่ยนแปลงน้อยกว่าไข้หวัดใหญ่ ซึ่งถ้าในที่สุดแม้ว่าเชื้อไข้หวัดใหญ่จะมีการปลี่ยนแปลง แต่ระดับภูมิคุ้มกันหมู่ของคนเราก็จะพัฒนาไป สุดท้ายแล้วในอนาคตข้างหน้า โควิด-19 ก็จะเป็นในทิศทางเดียวกัน
แต่อย่างไรก็ตาม ในระหว่างนี้ ที่ยังเรายังต้องเฝ้าระวังตัวเอง ไม่เอาตัวเองไปเสี่ยงรับเชื้อ และการฉีดวัคซีนยังคงสามารถมีความจำเป็นในการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่กันต่อไป