ที่เที่ยวน่าน เที่ยวไทย

20 ที่เที่ยวน่าน หน้าหนาว ครบรสชาติการผจญภัย

หน้าหนาวชวนขึ้นเหนือ เยือนดินแดนแห่งขุนเขาแสนโรแมนติก เหมาะกับใช้ชีวิตสโลว์ไลฟ์ ที่เที่ยวน่าน หน้าหนาว

Home / TRAVEL / 20 ที่เที่ยวน่าน หน้าหนาว ครบรสชาติการผจญภัย

หน้าหนาวชวนขึ้นเหนือ เยือนดินแดนแห่งขุนเขาแสนโรแมนติก เหมาะกับใช้ชีวิตสโลว์ไลฟ์ ที่จังหวัดน่าน ไม่ว่าจะเป็นการตื่นเช้ามาชมทะเลหมอก ถ่ายรูปคู่ดอกนางพญาเสือโคร่งที่ผลิดอกสีชมพูสวยหวาน กางเต็นท์นอนนับดาวฟิน ๆ ท่ามกลางอากาศเย็นสุดขั้ว หรือเดินชมนาข้าวขั้นบันไดสีเหลืองทองอร่าม และที่เที่ยวธรรมชาติอีกมากมาย

ที่เที่ยวน่าน หน้าหนาว 20 พิกัดน่าไป

คอนเฟิร์มเลยว่าใครได้ไป ต้องหลงเสน่ห์เมืองนี้อย่างหัวปักหัวปำ!

1. ดอยเสมอดาว

ดอยเสมอดาว สถานที่ท่องเที่ยวกางเต็นท์พักแรมยอดฮิต แห่งหนึ่งในอุทยานแห่งชาติศรีน่าน ที่นอกจากจะเป็นจุดชมดาวยามค่ำคืนแล้ว ยังเป็นทั้งจุดชมแสงอาทิตย์ยามเช้า พร้อมทะเลหมอกไหลผ่านทิวเขา และจุดชมพระอาทิตย์ตกดินที่สวยงาม

ในบริเวณไม่ไกลกันยังมี ผาหัวสิงห์ เป็นหน้าผามีรูปร่างหมือนสิงโตนอนหมอบหันหน้าไปทางทิศตะวันออก สามารถมองเห็นวิวเมือง แม่น้ำ ทิวเขา พืนพรรณป่าไม้ ได้แบบรอบด้าน 360 องศา และมีเส้นทางเดินสำรวจธรรมชาติให้ได้เดินกันด้วย


2. ดอยภูคา อุทยานแห่งชาติดอยภูคา

ดอยภูคา ตั้งอยู่ที่อุทยานแห่งชาติดอยภูคา เป็นป่าที่มีความอุดมสมบูรณ์กว้างใหญ่ไพศาล มีพื้นที่ประมาณ 1,065,000 ไร่ เต็มไปด้วยพืชพรรณและสัตว์ป่าหายากที่สำคัญต่อระบบนิเวศ

นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่รู้จักดอยภูคา จากการเป็นจุดชม ต้นชมพูภูคา ที่จะออกดอกเป็นช่อ สีชมพูอมขาว สะพรั่งอย่างสวยงาม ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม ของทุกปี


3. ดอยตีดู้ว์

ดอยตีดู้ว์ เป็นหมู่บ้านของชาวเขาเผ่าม่อง อยู่ห่างจากตัวเมืองน่านราว ๆ 28 กม. ไฮไลท์คือจุดชมวิวที่สร้างยื่นออกไปจากเชิงเขา สามารถยืนชมทะเลหมอกยามเช้า และทอดสายตามองหุบเขาเขียวขจีตรงหน้าได้แบบฟิน ๆ พร้อมรับแสงอรุณของวันใหม่ในบรรยากาศหนาวสะใจ

นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมสุดสนุกอย่าง การโล้ชิงช้าม้ง กิจกรรมยอดฮิตของชาวเหนือ เดินชมไร่สตรอว์เบอร์รี่ เช่าชุดชนเผ่าถ่ายรูป และอย่าลืมอุดหนุนสินค้าเกษตรของชุมชนก่อนกลับบ้านด้วย


4. ม่อนเคียงดาว

ม่อนเคียงดาว ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติศรีน่าน บริการที่พักโฮมสเตย์แบบเรียบง่าย อยู่ท่ามกลางธรรมชาติที่ล้อมด้วยขุนเขา ตกดึกมีดาวเต็มฟ้าส่องแสงพร่างพราว ตอนเช้ามีทะเลหมอกไหลผ่านยอดเขา ตัดกับแสงสีทองของดวงอาทิตย์ ให้ชมกันแบบจุใจเลย ใครอยากมานอนหนาว สามารถเข้าพักได้ตั้งแต่เดือนตุลาคม – กุมภาพันธ์ ของทุกปี


5. ดอยภูแว

ดอยภูแว ตั้งอยู่ที่ อ.เฉลิมพระเกียรติ ในเขตอุทยานแห่งชาติดอยภูคา เป็นยอดเขาที่มีทุ่งหญ้าปกคลุมสลับกับโขดหินปูน มีหน้าผาสูงชัน และลานหินกระจายอยู่ทั่วไป

ด้วยความสูง 1,837 เมตร จากระดับน้ำทะเล ใช้ระยะเวลาในการเดินเท้าประมาณ 6 ชั่วโมง ในระยะทางกว่า 8 กม. กว่า คุณจะพบกับจุดชมวิว 360 องศา กับทะเลหมอกสุดแสนตระการตา ตัดกับทุ่งหญ้าสีเขียวบนยอดภู พร้อมกับอากาศสุดหนาวเหน็บ แค่นี้ก็คุ้มค่ากับความเหนื่อย ที่เหล่านักผจญภัยจะต้องประทับใจ


6. ดอยแม่จอก อุทยานแห่งชาติขุนสถาน

ดอยแม่จอก ยอดดอยในเขตอุทยานแห่งชาติขุนสถาน บนความสูง 1,424 เมตรจากระดับน้ำทะเล มีอากาศหนาวเย็นตลอดทั้งปี เป็นสถานที่ตากอากาศและมีวิวทิวทัศน์ของเทือกเขาที่เรียงรายสลับซับซ้อน สามารถมองเห็นความงดงามของดวงอาทิตย์ขึ้นในยามเช้า และทะเลหมอกที่เป็นผืนขนาดใหญ่กว้างไกลสุดสายตา


7. สถานีวิจัยต้นน้ำขุนสถาน

สถานีวิจัยต้นน้ำขุนสถาน เป็นหน่วยงานในเขตพื้นที่ดูแลของอุทยานแห่งชาติขุนสถาน อยู่ห่างจากที่ทำการประมาณ 2 กิโลเมตร ภายในโอบล้อมไปด้วยต้นนางพญาเสือโคร่ง หรือ ซากุระเมืองไทย  ถ้าไปช่วงเดือนมกราคม จะเห็นสีชมพูสะพรั่งทั่วทั้งสถานีและริมถนนด้านนอก พร้อม ๆ กับใบเมเปิ้ลที่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงในเวลาไล่เลี่ยกัน


8. ผาชู้

ในช่วงฤดูหนาวนักท่องเที่ยวนิยมเดินทางสู่ผาชู้ เพื่อชมทะเลหมอกรับแสงตะวันยามเช้า และเมื่อสายหมอกจางลงก็จะเผยให้เห็นลำน้ำน่านทอดตัวคดเคี้ยวอยู่ปลายผืนป่า นอกจากนี้ที่นี่ยังเป็นสถานที่ตั้งสายธงชาติที่ยาวที่สุดในประเทศไทย ยาวประมาณ 200 เมตร เรียกว่า ต้องร้องเพลงชาติประมาณ 12 จบกันเลยทีเดียวกว่าจะเชิญธงชาติขึ้นสู่ยอดเสาได้สำเร็จ


9. ดอยวาว อุทยานแห่งชาตินันทบุรี

ดอยวาว เป็นจุดที่สูงสุดของ อุทยานแห่งชาตินันทบุรี และเป็นแหล่งต้นน้ำหลายสาย บรรยากาศเหมาะกับการกางเต็นท์ พักแรม กินลม ชมวิว ยิ่งถ้าไปช่วงโอกาสเหมาะในฤดูหนาว จะได้ตื่นตากับซากุระ หรือ ดอกพญาเสือโคร่ง บานชมพูสะพรั่งทั่วดอย คละเคล้าสายหมอกลอยฟุ้ง เสริมสีสันให้ ดอยวาว เป็นหนึ่งสถานที่ที่นักเดินทางต้องหาโอกาสไปสัมผัส


10. ล่องแก่งลำน้ำว้า อุทยานแห่งชาติแม่จริม

ขอบคุณภาพจาก : tatcontactcenter

ลำน้ำว้า  จัดว่าเป็นที่สุดแห่งการล่องแก่งในเมืองไทย และยังติดอยู่ในอันดับต้น ๆ ของเอเชียอีกด้วย  ซึ่งในฤดูฝนน้ำจะมาก ส่วนในฤดูหนาวน้ำจะใสมาก แบ่งเป็น 3 ตอน คือ

  • น้ำว้าตอนบน เหมาะสำหรับการท่องเที่ยวที่หนักไปทางผจญภัย เพราะมีแกงกว่า 100 แก่ง ผ่านโขดหินใหญ่ น้ำวน และน้ำตกเป็นระยะ เส้นทางเริ่มจากบ้านสปันไปถึงบ้านสบมาง ระยะทางประมาณ 35 กิโลเมตร
  • น้ำว้าตอนกลาง เส้นทางเริ่มจากบ้านสบมางไปถึงบ้านวังลุน ระยะทางประมาณ 80 กิโลเมตร  ใช้เวลาล่องถึง 2 วัน ตลอดเส้นทางเต็มไปด้วยเกาะแก่งและวังน้ำน้อยใหญ่ไหลผ่านหุบเขา กระแสน้ำแรง บางช่วงมีน้ำวน จึงเหมาะสำหรับผู้มีประสบการณ์ล่องแก่งเท่านั้น
  • น้ำว้าตอนล่าง มีระยะทาง 12 กิโลเมตร สามารถล่องแก่งได้ทั้งปี  เป็นช่วงการล่องแก่งที่เล็กและเบาที่สุด เหมาะสำหรับนักผจญภัยมือใหม่ทุกคน

11. สถานีพัฒนาการเกษตรที่สูงตามพระราชดำริภูพยัคฆ์

ในอดีต เคยเป็นสมรภูมิรบ ระหว่างทหารไทยกับผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ ปัจจุบันภูพยัคฆ์ได้เปลี่ยนเป็น สถานีพัฒนาการเกษตรที่สูงตามพระราชดำริ เพื่อพัฒนาให้ราษฎรชาวไทยภูเขา มีจิตสำนึกและมีส่วนร่วมในการฟื้นฟู พัฒนาอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้เป็นแหล่งต้นน้ำลำธารที่มีคุณภาพเป็นป่าที่สมบูรณ์

ภูพยัคฆ์ หรือ ภูผายักษ์ เป็นยอดภูหินผาที่มีความสวยงาม อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1,500 เมตร เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ และสถานีตัวอย่างในการขยายผลผลิตทางการเกษตร โดยเฉพาะพืชเมืองหนาว


12. สถานีพัฒนาการเกษตรที่สูงตามพระราชดำริ
บ้านสะจุก-สะเกี้ยง

สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 ทรงมีพระราชดำริให้สร้างโครงการสถานีพัฒนาการเกษตรที่สูงขึ้นในหมู่บ้าน เพื่อให้ความรู้เรื่องการทำนาแบบขั้นบันได และส่งเสริมการทำเกษตรที่สูง ช่วยเพิ่มผลผลิตและสร้างรายได้ที่มากขึ้นแก่ชาวบ้าน รวมถึงชาวเขาทุกคน

นอกจากบรรยากาศของนาข้าวขั้นบันได ที่ลาดไปตามเนินเขาในโครงการฯ บ้านสะจุก-สะเกี้ยง นักท่องเที่ยวยังได้ชม พืชผักเมืองหนาว ไร่สตรอว์เบอร์รี ต้นหม่อน ผักปลอดสารพิษ และหยอกล้อกับแกะขนฟูแบบใกล้ชิด


13. นาข้าวขั้นบันได โครงการปิดทองหลังพระ

โครงการปิดทองหลังพระ ตั้งอยู่ใน อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดน่าน เป็นต้นแบบนำร่องดำเนินโครงการปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริในพื้นที่ 3 อำเภอ ครอบคลุม 3 ตำบล ได้แก่อำเภอสองแคว ในหมู่บ้านยอด อำเภอท่าวังผา บ้านน้ำป้าก และ ต.ขุนน่าน อำเภอเฉลิมพระเกียรติ

เริ่มต้นด้วยการลดการใช้พื้นที่ป่า แสวงหาวิธีปลูกข้าวแบบใหม่ โดยนำวิธีการทำนาขั้นบันไดบนพื้นที่เขาแทนข้าวไร่ นอกจากนี้ยังมีระบบการจัดสรรน้ำเพื่อทำนาในระบบขั้นบันไดที่เรียกว่าอ่างพลวงกระจายอยู่บนเขาหัวโล้น ประยุกต์จากโครงการแก้มลิง ซึ่งในปัจจุบันนี้ นาข้าวขั้นบันได โครงการปิดทองหลังพระ ได้กลายมาเป็นอีกหนึ่งแหล่งท่องเที่ยวเชียงธรรมชาติที่สวยงาม รอทุกคนได้มาสัมผัส


14. ดอยสวนยาหลวง

เดิมทีสวนยาหลวงเป็นพื้นที่ปลูกฝิ่นของชาวเขาเผ่าเมี่ยน ที่ใหญ่มากแห่งหนึ่งในประเทศไทย ปัจจุบันกลายเป็นแหล่งปลูกกาแฟชั้นดีพันธุ์อะราบิก้า และสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยม การเดินทางค่อนข้างลำบาก หากไม่คุ้นเคย ต้องใช้รถโฟวิลของชาวบ้านพาขึ้นไป แต่รับรองว่าวิวบนยอดเขาสวยจับใจ จนหายเหนื่อย ได้ดื่มด่ำกับธรรมชาติรอบตัวอย่างเต็มอิ่ม ซึ่งด้านบนมีโฮมสเตย์ให้เรานอนพักสบาย ๆ พร้อมอาหารสุดอร่อย จากฝีมือชาวบ้าน


15. โครงการศูนย์ภูฟ้าพัฒนา

ศูนย์ภูฟ้าพัฒนา เป็นโครงการสนองพระราชดำริของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เพื่อช่วยเหลือราษฎรในถิ่นทุรกันดาร ให้มีคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี พร้อมประกอบอาชีพ อย่างเหมาะสมกับศักยภาพ ตลอดจนพัฒนาพื้นที่ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ ศึกษาธรรมชาติ และวัฒนธรรมท้องถิ่นแห่งสำคัญของจังหวัดน่าน

ภายในโครงการ มีร้านจำหน่ายผลิตภัณฑ์แปรรูปของศูนย์ภูฟ้าพัฒนา ห้องสารสนเทศ อาคารที่พัก ห้องสมุด โรงอาหาร สถานีวิทยุ R-radio ห้องเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ อาคารแปรรูป-อบชาอู่หลง การปลูกพืชไร้ดินแบบไฮโดรโปนิกส์ และร้านกาแฟสด ให้นั่งเล่นจิบกาแฟ พลางชมทิวทัศน์รอบ ๆ


16. วังศิลาแลง

 วังศิลาแลง อีกหนึ่งที่เที่ยวทางธรรมชาติที่ได้ฉายาว่า แกรนด์แคนยอนเมืองปัว มีความโดดเด่นอยู่ที่สายน้ำกูนไหลคดเคี้ยวผ่านซอกหินผา กัดเซาะหินรอบข้างทั้งสองด้าน จนเกิดเป็นลวดลายที่สวยงามแปลกตา เเละมีวังน้ำอยู่ประมาณเจ็ดวังด้วยกันในระยะ 400 เมตร โดยในช่วงฤดูเเล้งนั้น น้ำที่ไหลลงมาจะเป็นน้ำใส ๆ สามารถมองทะลุลงไปจนเห็นถึงข้างล่างได้เลย


17. ซุ้มลีลาวดี

ซิกเนเจอร์ของจังหวัดน่าน อย่างหนึ่งก็คือ ภาพซุ้มต้นลีลาวดี หรือ ต้นลั่นทม บริเวณหน้าพิพิธภัณฑ์แห่งชาติน่าน ที่ขึ้นเป็นแถวเรียงรายแผ่ขยายกิ่งก้านโค้งเข้าหากัน ราวกับอุโมงค์ต้นไม้ยิ่งใหญ่ โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาว ใบของต้นลีลาวดีจะร่วงจนหมดต้น เหลือเพียงกิ่งก้านสาขา ซึ่งสวยงามและมีเสน่ห์ไปอีกแบบ


18. เสาดินนาน้อย

เสาดินนาน้อย หรือที่เรียกกันในภาษาท้องถิ่นว่า “ฮ่อมจ๊อม”  มีลักษณะเป็นเสาดินขนาดใหญ่ คล้ายกับแพะเมืองผี จ.แพร่ เกิดจากการกัดเซาะของน้ำฝนและลมตามธรรมชาติ จนเห็นเป็นแท่งดินที่มีรูปทรงแตกต่างกันออกไป

ในช่วงฤดูหนาวป่าเต็งรังบริเวณรอบ ๆ เสาดินจะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง แดง ส้ม น้ำตาล ตัดกับสีน้ำเงินของท้องฟ้า ทำให้ดูสวยงาม และที่สำคัญคืออากาศจะเย็นสบาย สามารถเดินถ่ายรูปได้ไม่เหนื่อย

นอกจากนี้ยังเคยขุดพบกำไลหินและขวานโบราณที่นี่ ทำให้สันนิษฐานว่าบริเวณเสาดินนาน้อยอาจเคยเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของมนุษย์ยุคหินมาก่อน ซึ่งปัจจุบันโบราณวัตถุเหล่านั้นถูกเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ จ.น่าน


19. ถนนลอยฟ้า

ถนนลอยฟ้าที่โรแมนติกที่สุดสายหนึ่งของไทย ทางขึ้นสู่ อุทยานแห่งชาติดอยภูคา อ.ปัว จ.น่าน เป็นเส้นทางสายปัว-บ่อเกลือ-แม่จริม (ทางหลวงหมายเลข 1256) เส้นทางนี้จะค่อย ๆ ไต่ระดับความสูงจากพื้นที่ราบด้านล่างขึ้นสู่ยอดเขาที่สลับซับซ้อน เส้นทางคดเคี้ยวไปมา บางช่วงสูงชันสลับกับทางราบ วิวทิวทัศน์ระหว่างทางขนาบข้างด้วยทุ่งหญ้า นาข้าว และต้นไม้ใหญ่ ถ้าขับรถไปในช่วงเวลาเช้า แนะนำให้ลดกระจกลง จะได้สัมผัสเมฆหมอกที่ลอยผ่านหน้าแบบระยะประชิด แถมด้วยอากาศสดชื่นเย็นสบาย


20. อำเภอปัว

ปัว เป็นอำเภอเล็ก ๆ ในจังหวัดน่าน ซึ่งในปัจจุบันเป็นอีกหนึ่งพิกัดที่นักท่องเที่ยวให้ความสนใจ ด้วยความที่เป็นเมืองเล็ก ๆ เงียบสงบ โอบล้อมไปด้วยธรรมชาติ หุบเขา และนาขั้นบันไดวิวตระการตา ยิ่งในช่วงหน้าหนาว ตั้งแต่ปลายเดือน ต.ค. – พ.ย. นักท่องเที่ยวจะได้เห็นนาข้าวสีเหลืองทอง พร้อมกับสายหมอกและอากาศเย็นจับใจ


บทความที่เกี่ยวข้อง