พาชมพิพิธภัณฑ์ศิลปะดิจิทัล Teamlab Planets TOKYO จุดเช็คอินแห่งใหม่​ ณ กรุงโตเกียว

TeamLab Planets TOKYO  เป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะดิจิทัลที่ตั้งอยู่ในเขตโทโยสุ (Toyosu) ของกรุงโตเกียว (Tokyo) ด้านในพิพิธภัณฑ์แบ่งออกเป็นห้องต่างๆ ซึ่ง Mood&Tone จะแตกต่างกันออกไป ภายในงานจัดเต็มทั้งแสง สี เสียง และไฮไลท์สำคัญของงานนี้คือการเดินเท้าเปล่าพร้อมลุยน้ำชมงานศิลป์…

Home / TECH / พาชมพิพิธภัณฑ์ศิลปะดิจิทัล Teamlab Planets TOKYO จุดเช็คอินแห่งใหม่​ ณ กรุงโตเกียว

TeamLab Planets TOKYO  เป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะดิจิทัลที่ตั้งอยู่ในเขตโทโยสุ (Toyosu) ของกรุงโตเกียว (Tokyo) ด้านในพิพิธภัณฑ์แบ่งออกเป็นห้องต่างๆ ซึ่ง Mood&Tone จะแตกต่างกันออกไป ภายในงานจัดเต็มทั้งแสง สี เสียง และไฮไลท์สำคัญของงานนี้คือการเดินเท้าเปล่าพร้อมลุยน้ำชมงานศิลป์ ภายใต้แนวคิด ‘การร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับงานศิลปะ’ นั่นเอง

สำหรับการเข้าชมงานเราสามารถซื้อตั๋วล่วงหน้าออนไลน์ทางเว็บไซต์ teamlabplanets.dmm.com หรือจะมาซื้อที่หน้างานก็ได้เหมือนกัน (แนะนำให้จองมาก่อนสะดวกกว่าค่ะ) 

Teamlab Planets TOKYO จะแบ่งเป็น 2 โซน คือ Water area และ Garden Area ค่ะ หลังจากเราสแกนตั๋วเข้างานมาเรียบร้อยแล้วเราก็มาเข้าแถวตามล็อค ที่เขากำหนดไว้ จะมีพนักงานอธิบายข้อปฏิบัติและคำแนะนำในการเข้าชม ซึ่งตลอดทั้งการเข้าชมเราจะต้องถอดถุงเท้าและรองเท้า รวมถึงมีบางห้องเราจะต้องเดินลุยน้ำด้วย สำหรับใครที่ชุดไม่พร้อมลุยที่นี่เขามีกางเกงขาสั้นให้ยืมฟรีด้วยน้า 

เมื่อเข้ามาด้านในจะพบกับล็อคเกอร์ให้เราฝากรองเท้ารวมถึงสิ่งของมีค่าต่างๆ หลังจากเก็บของเรียบร้อยแล้ว ก็ไปลุยกันเลยค่า

บรรยากาศระหว่างทางเดินจะมืดๆ หน่อยนะคะ (อาจจะไม่เหมาะสำหรับคนที่กลัวความมืด) พอเราเดินมาเรื่อยๆ ตามลูกศร จะเจอกับทางขึ้นแนวลาด ระหว่างทางมีน้ำไหลผ่านเท้า และมีราวบันไดให้จับเพื่อกันลื่นล้ม เมื่อเดินจากจุดต่ำสุดไปยังจุดสูงสุดก็จะพบกับงานศิลปะชิ้นแรก ก็คือ Waterfall of light Particles at the Top of an Incline หรือที่เราเรียกกันว่า ‘น้ำตกแห่งแสง’ ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากน้ำตกธรรมชาติในภูเขาชิโกกุ (Shikoku)

สำหรับความรู้สึกแรกที่รู้สึกได้เลยคือความชุ่มชื่น เหมือนพบกับแสงสว่าง จากที่เดินเหนื่อยๆบนทางลาดชันมา ซึมซับความชุ่มชื่นสักพักก็ไปต่อกันที่ Soft black hole – Your Body Becomes a Space that Influences Another Body เป็นคอนเซ็ปต์ที่ล้อเลียนชีวิตในปัจจุบันที่เราถูกล้อมรอบด้วยพื้นผิวเรียบและแข็ง จนทำให้ในชีวิตประจำวันเราจึงหลงลืมการรับรู้ร่างกายของเราไปว่าพื้นผิวตามธรรมชาติเป็นอย่างไร

ถือว่าเป็นห้องที่ทดสอบความสมดุลของร่างกายและให้ความสนุกสนานกับน้องๆ เด็กๆที่มา ความสนุกอยู่ที่การเดินผ่านหลุมอย่างล้มลุกคลุกคลาน ต้องใช้แรงในการเดินเปรียบเสมือนการเดินทางของชีวิต ที่ต้องมีอุปสรรค แต่เมื่อก้าวข้ามจุดนี้ไปได้ก็จะทำให้เราแข็งแกร่งขึ้นจากที่ใช้แรงไปเยอะแล้วก็เดินออกมาตามทาง จะพบกับห้อง The Infinite Crystal Universe เป็นศิลปะที่ได้แนวคิด Pointillism คือการใช้จุดแสงเพื่อสร้างวัตถุสามมิติที่มารวมกันและขยายออกไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุดในทุกทิศทาง

ส่วนตัวบอกเลยว่าห้องนี้สวยมากๆค่ะ ในห้องประดับไปด้วยไฟคริสตัล และภายในห้องยังมีกระจกรอบๆ เพื่อให้ถ่ายรูปเช็คอินกับ Background คริสตัลระยิบระยับอีกด้วย โดยแต่ละรอบจะเปลี่ยนสีไปเรื่อยๆ หากอ่านจากตัวหนังสือทุกคนอาจจะนึกภาพไม่ออก ต้องไปลองชมด้วยตาของตัวเอง

ไปลุยน้ำกันต่อกับห้องไฮไลท์ Drawing on the water surface Created by the Dance of Koi and People – Infinity หรือ “ห้องปลาคาร์ป” ที่สร้างขึ้นจากคอมพิวเตอร์กราฟิก มีปลาคาร์ปหลากหลายสีสัน และเมื่อปลาชนกับผู้คน ก็จะแตกตัวออกกลายเป็นดอกไม้ ความรู้สึกที่ได้สัมผัสคือเหมือนกับมีปลาแหวกว่ายอยู่ในน้ำจริงๆ อุณหภูมิของน้ำที่สัมผัสกับผิวช่วงขาเรามีความอุ่น เหมือนได้ใกล้ชิดกับปลาคาร์ปที่อยู่รอบๆเรา

เดินออกมาเช็ดเท้า ลุยกันต่อกับห้องที่ชื่อยาวมาก Expanding Three-Dimensional Existence in Transforming Space – Free Floating, Flattening 3 Colors and 9 Blurred Colors หรือว่าห้องบอลลูนนั่นเองค่า เราสามารถเดินแทรกตัวไปกับบอลลูกต่างๆ ได้ โดยเมื่อลูกบอลลูกนึงเปลี่ยนสีลูกอื่นๆก็เปลี่ยนตามไปด้วย ซึ่งบอลลูนทำขึ้นมาจากสีฟ้า แดง เขียว และสีใหม่ 9 สี (แสงในน้ำ, แสงแดดบนพืชน้ำ, พลัม, ไอริส, ท้องฟ้าตอนพลบค่ำ, ท้องฟ้ายามเช้า, แสงตอนเช้า, พีช, เมเปิลฤดูใบไม้ผลิ) ทำให้เกิดเป็นสีทั้งสิ้น 12 สี

เนื่องจากบอลลูนยักษ์มีการเปลี่ยนสีไปเรื่อยๆ ทำให้เรามีความรู้สึกสนุกสนานตาม Mood สี บางคนก็เข้าไปต่อย จับ หยอกล้อกับน้องบอลลูนห้องสุดท้ายในโซน Water area คือ Floating in the Falling Universe of Flowers ชิ้นงานนี้ทำให้เราปล่อยใจล่องลอยไปกับหมู่มวลดอกไม้ งานศิลปะชิ้นนี้แสดงให้เห็นถึงวัฏจักรของการเวียนว่ายตายเกิดอยู่ตลอดไป เหมือนกับฤดูกาลดอกไม้ที่ผลิบาน ร่วงโรยผันแปรตามกาลเวลา

ภายในเป็นห้องทรงโดม ลักษณะคล้ายกันกับท้องฟ้าจำลองที่ประเทศไทย (เผื่อใครยังนึกภาพไม่ออก) หลากหลายคู่รักพากันนอนดูผีเสื้อตัวน้อยๆ บินผ่านไปผ่านมา รวมกับห้องที่มีความมืด ให้ความรู้สึกเหมือนเราอยู่ในกาแลกซี่นึงเลยหลังจากเสพงานที่ฝั่ง Water Area จนเต็มอิ่มแล้ว เราก็เดินไปต่อกันที่ Garden Area

กับห้อง Moss Garden of Resonating Microcosms เป็นสวนมอสที่มีวัตถุรูปทรงไข่สะท้อนแสงสุดเก๋ มีความแปลกตา แต่ก็สวยงามแบบบอกไม่ถูก ซึ่งในตอนกลางวันเราจะเห็นเป็นสีเงินสะท้อนแวววาวคล้ายกระจก และพอพระอาทิตย์ตกดินจะเปลี่ยนสีเปล่งแสงออกมาได้มากถึง 61 เฉดสี ส่วนตัวแอดแอบเสียดายที่ไม่ได้ไปช่วงค่ำเลยไม่ได้นำภาพของน้องที่เปล่งแสงออกมาให้ทุกคนได้เห็น

ภายในห้องนี้จะให้ความรู้สึกเหมือนกับอยู่ในห้องเพาะชำ เพราะมีการรักษาอุณหภูมิให้มอส ซึ่งทาง Teamlab มีรองเท้าแตะสำหรับห้องนี้โดยเฉพาะให้ใส่ด้วยน้า

ปิดจ็อบห้องสุดท้ายกับ Floating Flower Garden สวนกล้วยไม้ลอยฟ้า ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากสวน Zen ดอกกล้วยไม้ที่มีชีวิต และสามารถขยับขึ้นลงได้ด้วย พร้อมกับกระจกรอบด้าน ห้องนี้ได้รับความนิยมกับชาวท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก เรียกว่าเป็น Signature เลยก็ได้ นอกจากชื่นชมความสวยงามแล้วต้องรีบหามุมถ่ายรูปด้วยนะ เพราะโซนนี้เขาจำกัดเวลาเข้าชม

ใครที่อ่านมาทั้งหมดแล้วยังมองภาพไม่ออก อยากให้มาสัมผัสด้วยตัวเองสักครั้ง กับ Teamlab Planets TOKYO แอบกระซิบว่าการเดินทางง่ายมากๆ สำหรับคนที่ไม่เคยมาญี่ปุ่นแบบแอด ยังมาถูกเพราะมีสถานีรถไฟที่จอดพอดีหน้าพิพิธภัณฑ์เลย แนะนำให้ไปสัมผัสดูกันสักครั้งกับจุดเช็คอินแห่งใหม่ของชาวโตเกียว

ข้อมูลเกี่ยวกับ teamLab Planets TOKYO

ราคาบัตร

  • ผู้ใหญ่ (อายุ 18 ปีขึ้นไป)  3,200 เยน
  • นักเรียนชั้นมัธยมศึกษา   2,000 เยน
  • เด็ก (อายุ 4-12 ปี)          1,000 เยน
  • อายุต่ำกว่า 3 ปี               ไม่มีค่าใช้จ่าย
  • ส่วนลดสำหรับผู้พิการ     1,600 เยน

วิธีการเดินทาง

  • Shin-Toyosu (รถไฟลอยฟ้า Yurikamome Line) จากสถานีเดินประมาณ 1 นาที
  • Shijo-mae (รถไฟลอยฟ้า Yurikamome Line) จากสถานีเดินประมาณ 5 นาที
  • Toyosu (รถไฟใต้ดินสาย Tokyo Metro Yurakucho Line) จากสถานีเดินประมาณ 10 นาที

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติม
https://planets.teamlab.art/tokyo/