ประเด็นน่าสนใจ
- วานนี้เจ้าหน้าที่ของสถานทูตเอสโตเนีย 1 คน เดินทางถึงไทย แต่ขอเข้าพักในคอนโดหรู ย่านสุขุมวิท โดนอ้างสิทธิ์ทางการทูต
- ’ศรีสุวรรณ จรรยา’ ชี้เอกสิทธิ์ทางการทูต ใช้ไม่ได้กรณีการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
- ทั้งนี้หากนายกรัฐมนตรีมีข้อยกเว้น ให้เอกสิทธิ์ทางการทูต ประชาชนสามารถเอาผิด ม.157 ได้ทันที
นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เปิดเผยว่า ตามที่เกิดกรณี เจ้าหน้าที่ของสถานทูตเอสโตเนีย 1 คน ที่เพิ่งเดินทางเข้ามาภายในไทย พยายามขอเข้าพักคอนโดหรู มิลเลนเนี่ยม เรสซิเดนซ์ ย่านสุขุมวิท โดนอ้างสิทธิ์ทางการทูต แต่เจ้าหน้าที่ของคอนโดปฏิเสธการให้เข้าพัก เพราะห่วงเรื่องความปลอดภัยของลูกบ้านจากเชื้อโควิด-19
หลังเกิดกรณีทหารอียิปต์ และลูกอุปทูตซูดาน ประกอบกับจากกรณีดังกล่าว ศบค. แถลงชัดว่า จะไม่อนุญาตสิทธิพิเศษ ให้บุคคลใดเข้ามาโดยไม่ต้องกักตัวอีก แต่ตัวแทนของสถานทูตไม่ยินยอม และมีการอ้างเอกสิทธิ์ทางการทูตด้วยนั้น
กรณีดังกล่าว มีข้อสงสัยถึงการบริหารจัดการของกระทรวงการต่างประเทศ และ สบค.อีกครั้งทั้งที่ประกาศชัดเจนว่าได้ยกเลิกสิทธิการยกเว้นบุคคลพิเศษเข้าประเทศโดยไม่ต้องกักตัวแล้ว และกระทรวงการต่างประเทศ ได้มีหนังสือแจ้งไปทุกสถานทูตเมื่อวันที่ 14 ก.ค. แล้วว่า คณะทูต คณะกงสุล องค์กระหว่างประเทศ หรือผู้แทนรัฐบาลที่มาปฏิบัติงานในประเทศไทย เมื่อถึงไทยจะต้องแยกกักตัวเอง 14 วัน รวมถึงต้องรอผลตรวจโควิดที่สนามบินก่อน แต่เอกสารดังกล่าวไม่ได้มีมาตรการบังคับโดยเด็ดขาด เหมือนอย่างที่ ศบค. แถลง
ศบค.ให้อภิสิทธิ์ ไม่ต้องกักตัว 14 วัน?
ทั้งนี้หาก ศบค.ปล่อยให้อภิสิทธิ์ชนเหล่านั้นเข้ามาในประเทศโดยไม่กักตัว 14 วันตามมาตรฐานทั่วไป ก็อาจเข้าข่ายความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ม.157 ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยตรง ทั้งนี้เอกสิทธิ์ทางการทูตนั้นมีขอบเขตจำกัด ไม่สามารถใช้ได้ทุกเรื่อง ซึ่งตามอนุสัญญากรุงเวียนนาว่าด้วยความสัมพันธ์ทางการทูต ค.ศ.1961 บัญญัติไว้ในข้อ 41 วรรคหนึ่ง ความว่า “ตัวแทนทางทูตมีหน้าที่เคารพกฎหมายและข้อบังคับของรัฐผู้รับ และไม่แทรกสอดในกิจการภายในของรัฐผู้รับ”
รวมทั้งอนุสัญญากรุงเวียนนาว่าด้วยความสัมพันธ์ทางกงสุล ค.ศ.1963 ก็บัญญัติไว้ในข้อ 55 วรรคหนึ่ง ความว่า “เจ้าพนักงานกงสุลมีหน้าที่เคารพกฎหมายและข้อบังคับของรัฐผู้รับ และไม่แทรกแซงกิจการภายในของรัฐผู้รับ” ซึ่งชี้ให้เห็นว่าจะใช้ข้ออ้างว่าเป็นเอกสิทธิ์ทางการทูตมาใช้ในกรณีการปฎิบัติตามระเบียบการควบคุมการแพร่เชื้อโควิด-19 ในไทยไม่ได้
สามารถแจ้งความเอาผิดนายกรัฐมนตรี หรือ ผอ.ศบค. ตาม ปอ.ม.157 ได้?
ซึ่งอนุสัญญาดังกล่าวมี พ.ร.บ.ว่าด้วยเอกสิทธิ์และการคุ้มกันทางการทูต 2527 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยเอกสิทธิ์และการคุ้มกันทางกงสุล 2541 ซึ่งใช้เป็นกฎหมายที่อนุวัติของอนุสัญญาดังกล่าวไว้แล้ว อีกทั้งตามประกาศ เรื่อง การกำหนดอำนาจหน้าที่ของรัฐมนตรี ตามกฎหมายเป็นอำนาจหน้าที่ของนายกรัฐมนตรี ลงวันที่ 25 มี.ค.2563 ที่กำหนดอำนาจนายกรัฐมนตรีไว้ 40 ฉบับนั้น ไม่ปรากฏว่ามี 2 พ.ร.บ.ดังกล่าวข้างต้นอยู่ด้วย
ดังนั้นหากนายกรัฐมนตรี และหรือ ศบค. จะใช้อำนาจออกข้อกำหนด “ยกเว้น” ให้เอกสิทธิ์ทางการทูต เพื่อเอาใจคณะทูต คณะกงสุล และองค์กรต่างประเทศ โดยไม่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายไทยกรณีโควิด-19 ประชาชนชาวไทยสามารถแจ้งความเอาผิดนายกรัฐมนตรี และหรือ ผอ.ศบค. ตาม ปอ.ม.157 ได้ทันที นายศรีสุวรรณกล่าวในที่สุด