8 บริษัทอสังหาฯ “เพอร์เฟค- เอพี- แสนสิริ- เอสซี แอสเซท- พฤกษา- ซีพีเอ็น- พราว- ฮ่องกงแลนด์” เปิดเผยแผนพัฒนาโครงการบน “ถนนหอการค้าไทย” พัฒนาสู่การเป็นทำเลที่อยู่อาศัยคุณภาพและศูนย์กลางธุรกิจการค้าแห่งใหม่ รวมพื้นที่ 1,300 ไร่ มูลค่ารวมกว่า 50,000 ล้านบาท
นับจากการเปิดใช้ถนนเมื่อปี 2557 จนถึงปัจจุบัน “ถนนหอการค้าไทย” กลายเป็นทำเลทองของการอยู่อาศัย และยัง เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดมีบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำรวม 8 บริษัท ได้แก่ บมจ.พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค บมจ.เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น บมจ.แสนสิริ บมจ.เอพี (ไทยแลนด์) บมจ.พฤกษา เรียลเอสเตท บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา บมจ.พราว เรียล เอสเตท และ ฮ่องกง แลนด์ ที่มีแผนพัฒนาโครงการ ร่วมสร้างสังคมคุณภาพบนถนนหอการค้าไทย
นายวงศกรณ์ ประสิทธิ์วิภาต กรรมการผู้จัดการ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ถนนหอการค้าไทย ซึ่งเชื่อมระหว่างถนนชัยพฤกษ์และถนนสะพานนนทบุรี-บางบัวทอง (ถ.345) ระยะทาง 4 กิโลเมตร เป็นถนนที่บริษัทก่อสร้างขึ้น โดยใช้งบ 400 ล้านบาท ปัจจุบันเติบโตเป็นชุมชนขนาดใหญ่ มีทั้งโครงการที่อยู่อาศัย โรงเรียนนานาชาติ ธุรกิจร้านค้ามากมายเกิดขึ้น มีการพัฒนาโครงการไปแล้ว 20 โครงการ เป็นพื้นที่ 920 ไร่ มูลค่ารวม 30,000 ล้านบาท จำนวนรวม 3,100 ยูนิต เป็นหนึ่งในทำเลที่มีโครงการที่อยู่อาศัยคุณภาพหลากหลายรูปแบบ และได้รับความสนใจอย่างมากจากกลุ่มผู้ซื้อบ้านในกรุงเทพโซนตะวันตก
ทั้งนี้ตลอดเส้นทางถนนหอการค้าไทย มีพื้นที่สำหรับพัฒนาโครงการรวม 1,300 ไร่ มูลค่าโครงการทั้งหมดคาดว่าอยู่ที่ 50,000 ล้านบาท จำนวนรวมประมาณ 4,600 ยูนิต ใช้ระยะเวลา 5 ปีนับจากนี้ในการพัฒนาโครงการเต็มพื้นที่ สู่การเป็นทำเลที่อยู่อาศัยและศูนย์กลางธุรกิจที่ครอบคลุมทุกความต้องการของผู้ซื้อบ้าน ภายใต้การพัฒนาของ 8 บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำ ในปีนี้ถนนหอการค้าไทยยังได้รับอานิสงส์จากรถไฟฟ้าสีชมพูเปิดให้บริการ และการขยายถนนชัยพฤกษ์เป็น 10 ช่องทางที่กำหนดแล้วเสร็จปลายปี 2567 เพิ่มศักยภาพการคมนาคมเชื่อมตรงจากถนนแจ้งวัฒนะ ส่งผลให้พื้นที่ขยายตัวเติบโตเพิ่มขึ้นได้อีก
สำหรับ พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค มีที่ดินบนถนนหอการค้าไทย 600 ไร่ มูลค่าโครงการรวม 20,500 ล้านบาท พัฒนาไปแล้ว 530 ไร่ จำนวน 13 โครงการ มีโครงการที่ยังเปิดขายอยู่ 6 โครงการ ตอบโจทย์การอยู่อาศัยได้ครบทุกรูปแบบ ทั้งบ้านเดี่ยว 4 โครงการ ได้แก่ เพอร์เฟค เพลส, เพอร์เฟค พาร์ค 2 โครงการ และ เลค เลเจ้นด์ ซึ่งเป็นโครงการร่วมทุนกับ ฮ่องกงแลนด์ มีทาวน์โฮม 1 โครงการ ได้แก่ เดอะ เมทโทร และอาคารพาณิชย์พร้อมการพักอาศัย 1 โครงการ ได้แก่ มาร์เก็ต อเวนิว ในส่วนที่ดินอีก 90 ไร่ มีแผนพัฒนาเป็นโครงการเชิงพาณิชย์ ศูนย์กลางธุรกิจแห่งใหม่ ทั้ง อาคารพาณิชย์ ธุรกิจร้านค้า ร้านอาหาร เพื่อรองรับการใช้ชีวิตของคนในชุมชนบนถนนสายนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ด้าน บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) โดย นายมงกุฎ เตโชฬาร หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านพัฒนาทรัพย์สินแนวราบ เปิดเผยว่า เอสซี แอสเสท เป็นหนึ่งในบริษัทแรกๆ ที่เข้ามาพัฒนาโครงการบนถนนหอการค้าไทย จนถึงขณะนี้มีการพัฒนาโครงการมาแล้ว 3 โครงการ ในระดับราคา 10-30 ล้านบาท ปิดการขายไปแล้ว 1 โครงการ และเป็นโครงการที่ดำเนินการอยู่ 2 โครงการ ได้แก่ “บางกอก บูเลอวาร์ด ซิกเนเจอร์ แจ้งวัฒนะ” บ้านหรู โครงการใหม่ inspired by bled castle, Slovenia พื้นที่ 33 ไร่ มูลค่าโครงการ 1,560 ล้านบาท จำนวน 72 ยูนิต และ “บางกอก บูเลอวาร์ด แจ้งวัฒนะ-ราชพฤกษ์” บ้านหรู ลา-ไน ซีรีย์ inspired by Chamonix, Mont-Blanc พื้นที่ 26 ไร่ มูลค่าโครงการ 1,100 ล้านบาท จำนวน 82 ยูนิต นอกจากนี้ ยังมีที่ดินบนถนนหอการค้าไทยอีก 70 ไร่ที่รอการพัฒนา
“นับจากวันแรกที่เข้ามาพัฒนาโครงการ เอสซี แอสเสท เล็งเห็นถึงศักยภาพของทำเลถนนหอการค้าไทย ที่มีแนวโน้มจะพัฒนาเป็นเมืองใหม่ในอนาคต จนถึงวันนี้ มีการเดินทางสะดวกสบาย เชื่อมต่อได้หลายเส้นทาง ใกล้รถไฟฟ้าสายสีชมพู มีสิ่งอำนวยความสะดวกเกิดขึ้นมากมาย ทั้งร้านค้าต่างๆ รวมทั้งโรงเรียนนานาชาติ นอกจากจะเป็นทำเลแห่งการอยู่อาศัยที่มีโครงการแนวราบให้เลือกหลากหลายตั้งแต่ราคา 2 ล้านบาท ไปจนถึง 80 ล้านบาทแล้ว ยังนับเป็นศูนย์รวมธุรกิจแห่งใหม่ในทำเลแจ้งวัฒนะ”
นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ บริษัท เอพี ไทยแลนด์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ถนนหอการค้าไทย ถือเป็นถนนเศรษฐกิจสำคัญอีกเส้นทางหนึ่งที่ส่งเสริมให้ที่ดินที่อยู่แวดล้อมคึกคัก และด้วยจุดเด่นของทำเลที่สามารถเชื่อมต่อได้หลายเส้นทาง อีกทั้งยังแวดล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก และโรงเรียนนานาชาติ SISB ทำให้ย่านนี้กลายอีกหนึ่งทำเลทองของกรุงเทพฝั่งตะวันตกที่น่าสนใจ ซึ่งบริษัทฯพร้อมเปิดตัวโครงการ Grande Pleno แจ้งวัฒนะ-ราชพฤกษ์ มูลค่าโครงการ 1,250 ล้านบาท บนถนนเส้นดังกล่าว กำหนดเปิดพรีเซลในวันที่ 15-16 มิถุนายนนี้”
รูปแบบโครงการ Grande Pleno แจ้งวัฒนะ-ราชพฤกษ์ จะเป็น “บ้านแฝดพรีเมียม 2 ชั้น” จำนวน 198 หลัง ราคาเริ่มต้น 6.09 ล้านบาท ภายใต้คอนเซ็ปต์ใหม่ “เพิ่มพื้นที่ขยายความสุขที่มากกว่า” เพื่อตอบโจทย์ครอบครัวใหม่ที่กำลังมองหาบ้านในสเปซที่ลงตัวกับความต้องการ มีคาแรคเตอร์เฉพาะตัวไม่เหมือนใคร อีกทั้งยังเป็นสินค้าที่แตกต่างจากซัพพลายที่มีอยู่ในปัจจุบัน ด้วยบ้านฟังก์ชั่นใหญ่ คุ้ม ครบทุกความต้องการ ขนาด 3-4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ พื้นที่ใช้สอย 143-169 ตร.ม. พร้อม Exclusive Clubhouse สระว่ายน้ำและฟิตเนส 24 ชั่วโมง ที่ให้คุณได้เริ่มต้นชีวิติใหม่กับบ้านที่ลงตัว เหนือระดับด้วยความสะดวกสบายถึงขีดสุด ให้ทุกช่วงเวลาชีวิตของคนในครอบครัวลงตัวที่สุด
นายอาณัติ กิติกุลเมธี รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายงานพัฒนาโครงการแนวราบ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แสนสิริเป็นหนึ่งในผู้พัฒนาโครงการแถวหน้า ที่ร่วมบุกเบิกโครงการบนถนนหอการค้าไทย ให้ เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยและทำเลทองแห่งใหม่ในปัจจุบัน โดยแสนสิริมีการพัฒนาโครงการในโซนนี้ 2 โครงการ พื้นที่รวม 102 ไร่ มูลค่ารวมกว่า 3,000 ล้านบาท ได้แก่ สราญสิริ ชัยพฤกษ์-แจ้งวัฒนะ และ Else ชัยพฤกษ์-แจ้งวัฒนะ โดยทั้งสองโครงการได้รับการตอบรับที่ดีมาก ปิดการขายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“เราเล็งเห็นถึงศักยภาพในด้านต่างของถนนหอการค้าไทยและในย่านชัยพฤกษ์ที่มีการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงไปมาก โดยเฉพาะการเดินทางที่สะดวกสบาย เป็นแหล่งรวมการใช้ชีวิตที่ครบครัน ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียน หรือห้างสรรพสินค้าชั้นนำ เป็นทำเลทองที่มีศักยภาพ ด้วยอาณาเขตที่เชื่อมต่อถึง 3 จังหวัด คือ กรุงเทพฯ นนทบุรี และปทุมธานี เหมาะสำหรับการอยู่อาศัยและประกอบกิจการ มีดีมานด์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และยังมีโครงการที่อยู่อาศัยครบทุกระดับราคาที่สามารถเข้าถึงได้ง่ายมากขึ้น นับเป็นหนึ่งในโลเคชั่นสำคัญในการพัฒนาโครงการของแสนสิริ ที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก”
นายสรศักดิ์ เฉลิมไพโรจน์ Head of SBU–PS2 กลุ่มบ้านเดี่ยว บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า พฤกษาได้เข้ามาพัฒนาโครงการบนถนนหอการค้าไทยตั้งแต่ช่วงแรกของการเปิดใช้ถนน มีจำนวน 2 โครงการ มูลค่ารวม 3,000 ล้านบาท ได้แก่ โครงการภัสสร บ้านเดี่ยวระดับราคา 5–8 ล้าน ซึ่งปิดการขายไปแล้ว และ โครงการเดอะ ปาล์ม บ้านเดี่ยวในระดับราคา 8–15 ล้าน คาดว่าจะปิดโครงการในไตรมาส 3 ของปีนี้
“พฤกษายังมีที่ดินรอการพัฒนาอยู่อีก 33 ไร่บนถนนสายนี้ โดยเรามองถนนหอการค้าไทยเป็นทำเลศักยภาพ รายล้อมด้วยแหล่งอำนวยความสะดวก การคมนาคมที่สะดวกสบาย เป็นทำเลที่มีความเจริญเข้ามามากในช่วงที่ผ่านมา ทั้งยังเป็นย่านที่อยู่อาศัยแนวราบที่บริษัทอสังหาฯ ต่างๆ เข้ามาพัฒนา ทำให้บรรยากาศสภาพแวดล้อมของถนนหอการค้าไทยมีความเป็นชุมชนที่อยู่อาศัย และด้วยศักยภาพของที่ดินที่เชื่อมต่อกับ ถ.ชัยพฤกษ์ และ ถ.345 สามารถเข้าเมืองได้สะดวก รวมถึงยังใกล้แหล่งงานมากมาย ทำให้เป็นทำเลที่สามารถดึงกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูงเข้ามาในพื้นที่ได้มาก”
นายพสุ ลิปตพัลลภ กรรมการบริหาร บริษัท พราว เรียล เอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “พราว เรียล เอสเตท เป็นรายล่าสุดที่เข้ามาพัฒนาที่อยู่อาศัยบนถนนหอการค้าไทย โดยแปลงที่ดินของเรามีความพิเศษคือสามารถเข้าออกได้ 2 ทาง คือเข้าทางถนน 345 และถนนหอการค้าไทย โดยที่ตั้งโครงการอยู่ติดถนน 345 ที่เป็นเหมือนประตูทางเข้าถนนหอการค้าไทย จึงทำให้ทางเข้าถนนเส้นนี้มีความน่าสนใจมากขึ้นและเพิ่มมูลค่าให้กับทำเลถนนหอการค้าไทยได้อีกทางหนึ่งด้วย”
ในส่วนของแนวทางการพัฒนา ทางบริษัทฯ เตรียมเปิดตัวโครงการในปี 2568 บริษัท โดยได้รวบรวมประสบการณ์ด้านการพัฒนาโครงการระดับ Luxury – Ultra Luxury มูลค่า 100 ล้านบาทที่เคยทำ นำมาปรับใช้ให้ได้มากที่สุด พร้อมส่งต่อ Proud Pillars ของ พราว เรียล เอสเตท ตั้งแต่การบริการ การออกแบบที่โดดเด่น และการสร้างสรรค์รูปแบบชีวิตที่กลมกลืนสอดคล้องกับบริบทของสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน เพื่อให้ทุกชีวิตสัมผัสการใช้ชีวิตที่มากกว่า ซึ่งเป็นคำมั่นสัญญาในการดำเนินธุรกิจของพราว เรียล เอสเตท
นายสงกรานต์ แสงอร่ามรุ่งโรจน์ Head of Residence Operation 5-8 บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “บริษัทมองเห็นศักยภาพถนนหอการค้าไทย ซึ่งเป็นทำเลที่เดินทางเข้าเมืองได้อย่างสะดวก และพรั่งพร้อมด้วยศูนย์การค้าชั้นนำ เช่น โรบินสัน ไลฟ์สไตล์ ราชพฤกษ์, เซ็นทรัล เวสต์เกต รวมทั้งยังใกล้กับโรงเรียนนานาชาติชื่อดังอย่างโรงเรียนนานาชาติสิงคโปร์นนทบุรี (SISB วิทยาเขตนนทบุรี) ดังนั้นทำเลถนนหอการค้าไทยจึงเป็นทำเลที่ตอบโจทย์การอยู่อาศัย ซึ่งเป็นเหตุผลที่บริษัทสนใจลงทุนพัฒนาโครงการในทำเลนี้”
ทั้งนี้ เซ็นทรัลพัฒนามีที่ดินขนาด 75 ไร่ บนถนนหอการค้าไทย มีแผนพัฒนาเป็นโครงการบ้านเดี่ยว 2 ชั้น โดย CPN Residence ยังคงให้ความสำคัญกับการพัฒนาสินค้าให้ตอบโจทย์การพักอาศัยและใช้ชีวิตของกลุ่มลูกค้า ทั้งในด้านของฟังก์ชั่นที่รองรับไลฟ์สไตล์ และเข้าใจการใช้ชีวิตของผู้พักอาศัยในบ้าน ตั้งแต่วัยเด็กจนถึงผู้สูงอายุ รวมถึงงานดีไซน์ที่สวยงามบอกถึงความภูมิใจและตัวตนของผู้พักอาศัย และที่สำคัญคือระดับราคาขายที่สามารถแข่งขันได้