คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี ร่วมกับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดเวทีเสวนาเรื่อง “เปิดข้อมูลสถานการณ์บุหรี่ไฟฟ้า : ประเทศไทยจะเดินต่ออย่างไร?” เพื่อนำเสนอข้อมูลสถานการณ์บุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทย ท่ามกลางความกังวลต่อการแพร่ระบาดที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วในกลุ่มเด็กและเยาวชน
ภายในเวทีมีการรายงานผล การสำรวจสุขภาพประชาชนไทยโดยการตรวจร่างกายครั้งที่ 7 พ.ศ. 2567–2568

รศ.พญ.เริงฤดี ปธานวนิช หัวหน้าโครงการสำรวจสุขภาพประชาชนไทยโดยการตรวจร่างกายครั้งที่ 7 คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี เปิดเผยข้อมูลที่น่าตกใจว่า ประเทศไทยมีเด็กและเยาวชนอายุระหว่าง 10–19 ปี สูบบุหรี่ไฟฟ้ามากกว่า 400,000 คน โดยร้อยละ 51 เป็นผู้ที่เพิ่งเริ่มสูบภายในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นถึงการเพิ่มขึ้นของนักสูบหน้าใหม่อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ก่อนมีการระบาดของบุหรี่ไฟฟ้า ประเทศไทยมีนักสูบหน้าใหม่เพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 200,000–300,000 คน แต่หลังจากมีการแพร่ระบาดของบุหรี่ไฟฟ้าพบว่า ในช่วงปี 2567–2568 ตัวเลขเพิ่มสูงขึ้นอย่างผิดปกติถึงกว่า 700,000 คน ขณะที่พบเด็กอายุน้อยที่สุดเพียง 7 ปี เริ่มสูบบุหรี่ไฟฟ้าแล้ว
ศ.พญ.สุวรรณา เรืองกาญจนเศรษฐ์ ประธานกรรมการพัฒนานโยบายสาธารณะประเด็นบุหรี่ไฟฟ้า กล่าวว่า สถานการณ์บุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทยได้กลายเป็นวิกฤตที่กระทบต่อพัฒนาการสมองเด็กและอนาคตของประเทศ พร้อมเสนอกรอบ มาตรการหลัก 5 ด้าน ได้แก่ การสร้างความตระหนักรู้ในเด็กและครอบครัว การควบคุมและเฝ้าระวังการสื่อสารและการจำหน่ายบนสื่อออนไลน์ การปิดช่องว่างและทำให้การบังคับใช้กฎหมายเข้มข้นอย่างแท้จริง การดึงภาคประชาสังคม ครอบครัว ครู และผู้ใหญ่ให้ร่วมเป็นแบบอย่าง และการดำเนินมาตรการของรัฐอย่างเข้มงวดและต่อเนื่อง โดยเน้นการทำงานแบบบูรณาการหลายกระทรวง
ศ.พญ.สุวรรณา ยังย้ำว่า การสื่อสารด้านบุหรี่ไฟฟ้าจำเป็นต้อง “เข้าถึงเด็กตามจริตของเด็ก” ไม่ใช่สื่อที่ผู้ใหญ่เห็นว่าดีแต่เด็กไม่ดู พร้อมระบุว่าการขับเคลื่อนในระดับ “วาระแห่งชาติ” ได้เริ่มเดินหน้าแล้วในเชิงคำสั่งและมติที่ให้ทุกหน่วยงานร่วมกันดำเนินการอย่างจริงจัง

ด้าน ดร.อำนาจ สายฉลาด ผู้อำนวยการสำนักการลูกเสือ ยุวกาชาด และกิจการนักเรียน สังกัด สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า กระทรวงศึกษาธิการให้ความสำคัญกับการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงาน เพื่อเฝ้าระวัง ป้องกัน และแก้ไขปัญหาบุหรี่ไฟฟ้าในกลุ่มนักเรียน พร้อมระบบช่วยเหลือและส่งต่อเด็กที่เกี่ยวข้องเข้าสู่การดูแลที่เหมาะสม โดยมุ่งให้เด็กและเยาวชนกลับเข้าสู่ระบบการศึกษาและเรียนจบอย่างมีคุณภาพ ไม่ใช่การใช้มาตรการลงโทษเพียงอย่างเดียว
ขณะที่ พญ.ดวงพร ปิณจีเสคิกุล ผู้อำนวยการสำนักอนามัยกรุงเทพมหานคร ระบุว่า กรุงเทพมหานครเพิ่มมาตรการควบคุมในโรงเรียนอย่างเข้มงวด โดยกำหนดให้โรงเรียนเป็นพื้นที่ปลอดบุหรี่ไฟฟ้า 100% มีการตรวจค้นและยึดอุปกรณ์เมื่อพบการกระทำผิด ตรวจร้านค้าและพื้นที่รอบโรงเรียนอย่างต่อเนื่อง พร้อมใช้ “แผนที่จุดเสี่ยง” เพื่อชี้เป้าการตรวจ เนื่องจากพบว่าพื้นที่ที่เคยมีการจำหน่ายมักกลับมาขายซ้ำหากขาดการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง
ด้าน นายเลิศศักดิ์ รักธรรม ผู้อำนวยการกองคุ้มครองผู้บริโภค สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค กล่าวว่า บุหรี่ไฟฟ้าเป็นผลิตภัณฑ์ที่ละเมิดสิทธิผู้บริโภคอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กและเยาวชนที่ถูกดึงดูดด้วยการตลาดและรูปลักษณ์สินค้า การแก้ปัญหาจำเป็นต้องตัดวงจรการจำหน่าย โดยเฉพาะช่องทางออนไลน์ และดำเนินคดีอย่างจริงจังกับผู้ขายและเครือข่ายที่อยู่เบื้องหลัง

ขณะที่ นายจิระวัฒน์ อยู่สะบาย รองผู้อำนวยการกองงานคณะกรรมการควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขได้นำ Big Data และเทคโนโลยีมาปรับแนวทางการทำงาน โดยเปลี่ยนการสื่อสารจากการ “เฝ้าระวัง” เป็นการ “แจ้งเบาะแส” เปิดแคมเปญชวนประชาชนร่วมเป็น “นักสแกน” แจ้งข้อมูลการลักลอบจำหน่ายผ่านแอปพลิเคชัน ซึ่งช่วยให้การดำเนินคดีรวดเร็วขึ้น พร้อมตั้งเป้าหมายเชิงสัญลักษณ์ว่า “บุหรี่ไฟฟ้าต้องเป็นศูนย์”
ผู้ร่วมเสวนาเห็นตรงกันว่า ข้อมูลจากการสำรวจสุขภาพประชาชนไทยครั้งที่ 7 เป็นสัญญาณเตือนสำคัญที่สะท้อนว่าเด็กและเยาวชนกำลังกลายเป็นกลุ่มเสี่ยงหลักของประเทศ และจำเป็นต้องเร่งขับเคลื่อนมาตรการเชิงบูรณาการทั้งด้านนโยบาย กฎหมาย เทคโนโลยี และสังคม เพื่อหยุดยั้งปัญหาบุหรี่ไฟฟ้าอย่างจริงจังและยั่งยืน