วันที่ 9 ธ.ค. 68 ที่โรงแรม มิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพฯ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี ร่วมกับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) จัดงานเสวนา “เปิดข้อมูลสถานการณ์บุหรี่ไฟฟ้า: ประเทศไทยจะเดินต่ออย่างไร?”
รศ.พญ.เริงฤดี ปธานวนิช ภาควิชาเวชศาสตร์ชุมชน คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี และหัวหน้าโครงการสำรวจสุขภาพประชาชนไทยโดยการตรวจร่างกายครั้งที่ 7 พ.ศ. 2567-2568 นำเสนอผลสำรวจสถานการณ์บุหรี่ไฟฟ้า ว่า ปัจจุบันคนไทยอายุ 10 ปีขึ้นไปสูบบุหรี่ไฟฟ้าจำนวน 1.7 ล้านคน เพิ่มขึ้นกว่า 1 ล้านคนจากการสำรวจเมื่อ 5 ปีที่แล้ว ในจำนวนคนที่ปัจจุบันสูบบุหรี่ไฟฟ้า 73% เป็นคนอายุต่ำกว่า 30 ปี และที่น่าเป็นห่วงคือ มีเด็กตั้งแต่ระดับชั้นประถมศึกษา-มัธยมศึกษา หรืออายุ 10-19 ปี สูบบุหรี่ไฟฟ้ากว่า 400,000 คน โดย 51% เพิ่งเริ่มสูบในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา

รศ.พญ.เริงฤดี กล่าวเพิ่มเติมว่า บุหรี่ไฟฟ้าทำให้จำนวนนักสูบหน้าใหม่เพิ่มมากขึ้นจากเดิมในอดีตจะมีนักสูบหน้าใหม่เฉลี่ยปีละ 2-3 แสนคน แต่ในช่วงปี พ.ศ. 2567-2568 นักสูบหน้าใหม่เพิ่มสูงถึงกว่า 700,000 คน โดยเป็นการสูบบุหรี่ไฟฟ้าสูงถึงกว่า 500,000 คน ในจำนวนนี้เป็นเด็กอายุ 10-14 ปีถึงเกือบ 50,000 คน และกว่าครึ่งหนึ่งเป็นผู้หญิง ซึ่งในกลุ่มอายุนี้ส่วนใหญ่กว่า 70% เป็นการสูบตามเพื่อน นอกจากนี้พบว่าปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ที่มีความสัมพันธ์กับการสูบบุหรี่ไฟฟ้าในกลุ่มเด็กและวัยรุ่น ได้แก่ การดื่มสุรา การเสพกัญชา ภาวะซึมเศร้า การเคยถูกกลั่นแกล้งบนโลกไซเบอร์ การมีพ่อสูบบุหรี่ไฟฟ้า และการใช้สื่อโซเซียลมีเดียโดยเฉพาะ TikTok, Facebook และ Instagram
“แม้จำนวนคนสูบบุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทยจะเพิ่มขึ้น แต่ตัวเลขยังต่ำกว่าประเทศที่บุหรี่ไฟฟ้าถูกกฎหมาย สิ่งที่อยากจะฝากไปยังผู้กำหนดนโยบายคือ การคงมาตรการห้ามบุหรี่ไฟฟ้า และต้องเพิ่มความเข้มข้นในการบังคับใช้กฎหมายและต้องทำอย่างต่อเนื่อง เพราะจากข้อมูลพบว่าหลังจากช่วงเวลาที่รัฐบาลประกาศกวาดล้างบุหรี่ไฟฟ้าอย่างจริงจังเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2568 อัตราการสูบบุหรี่ไฟฟ้าในกลุ่มเด็กและเยาวชนอายุ 10-19 ปี ลดลงถึง 40%” รศ.พญ.เริงฤดี กล่าว
ศ.ดร.สแตนตัน แกล็นซ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมยาสูบ มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ซานฟรานซิสโก กล่าวย้ำว่า “บุหรี่ไฟฟ้าเพิ่มอันตรายต่อผู้สูบ: ไม่ใช่นโยบายลดอันตราย” ผู้กำหนดนโยบาย หน่วยงานสาธารณสุข หรือแพทย์ ควรอิงกับหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ครบถ้วนในปัจจุบัน และไม่หลงเชื่ออุตสาหกรรมยาสูบที่มักจะใช้เรื่อง “ลดอันตราย” เป็นข้ออ้างในการทำการตลาดและพยายามอย่างหนักในการวิ่งเต้นให้ภาคีสมาชิกอนุสัญญาว่าด้วยการควบคุมยาสูบขององค์การอนามัยโลก (WHO FCTC) ให้ยอมรับบุหรี่ไฟฟ้าและผลิตภัณฑ์ใกล้เคียงเป็นส่วนหนึ่งในนโยบายการควบคุมยาสูบ แต่ในความเป็นจริงนั้น อุตสาหกรรมยาสูบสร้างบุหรี่ไฟฟ้าขึ้นมาตั้งแต่ ค.ศ. 1900 เพื่อรักษาฐานลูกค้าเอาไว้ ไม่ใช่เพื่อช่วยเลิกบุหรี่ ไม่ใช่เพื่อลดอันตรายจากบุหรี่
ศ.ดร.สแตนตัน แกล็นซ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันมีงานวิจัยทางระบาดวิทยาจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ ที่ยืนยันความสัมพันธ์ระหว่างการสูบบุหรี่ไฟฟ้ากับการเกิดโรคต่าง ๆ เช่น ความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจ โรคเส้นเลือดสมองตีบ เเละภาวะเมตาบอลิคต่าง ๆ ไม่แตกต่างจากการสูบบุหรี่ธรรมดา และการสูบบุหรี่ทั้งสองชนิดยังมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น
“อุตสาหกรรมยาสูบมักจะอ้างว่า บุหรี่ไฟฟ้าช่วยเลิกบุหรี่ได้ แต่สิ่งที่ไม่ค่อยถูกพูดถึงคือ หากดูข้อมูลอย่างละเอียด จะพบว่าสำหรับทุก 1 คนที่เลิกบุหรี่ได้ จะมีผู้ใช้บุหรี่ทั้งสองชนิดอยู่ระหว่าง 1.9 ถึง 3.7 คน ซึ่งหมายความว่าการใช้บุหรี่ไฟฟ้าช่วยเลิกบุหรี่นั้นโดยเฉลี่ยแล้วมีความเสี่ยงสุทธิเพิ่มขึ้น นั่นหมายถึง การใช้บุหรี่ไฟฟ้าเป็นเครื่องมือเลิกบุหรี่นั้นไม่ได้ “ลดอันตราย” แต่กลับ “เพิ่มอันตราย”” ดร.แกล็นซ์ กล่าว


ศ.นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ ประธานมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ กล่าวว่า ผลการสำรวจนี้ ยืนยันว่าอันตรายที่แท้จริงของบุหรี่ไฟฟ้าอยู่ที่การระบาดในเด็ก วัยรุ่นและคนอายุน้อย โดยเฉพาะเด็กหญิง ที่เป็นนักสูบหน้าใหม่ และ 73% หรือ 3 ใน 4 ของคนที่สูบบุหรี่ไฟฟ้ามีอายุต่ำกว่า 30 ปี ที่เสี่ยงสูงที่จะเสพติดไปตลอดชีวิต ซึ่งนอกจากปัญหาสุขภาพกายจากอันตรายของบุหรี่ไฟฟ้าแล้ว สังคมไทยยังมองข้ามอันตรายของนิโคตินต่อสมองของเด็กและวัยรุ่นที่กำลังเจริญเติบโต ทำให้เกิดปัญหาการเรียนรู้ สุขภาพจิตและพฤติกรรมเสี่ยงอื่นๆ ที่สำคัญบุหรี่ไฟฟ้าที่ผสมยาเสพติดมีการลักลอบผลิตและขายมากขึ้น
“รัฐบาลจึงต้องให้ความสำคัญกับการปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้าที่ลักลอบนำเข้าและที่ขายตามช่องทางต่างๆอย่างต่อเนื่อง และควรมีการสำรวจสภาวะการระบาดอย่างน้อยทุกปี เพื่อนำมาปรับแผนการควบคุมอย่างจริงจัง” ศ.นพ.ประกิต กล่าว