เครียด กับ ซึมเศร้า ต่างกันอย่างไร สองภาวะที่คล้ายกัน แต่ไม่เหมือนกัน
เวลารู้สึกเหนื่อย ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว หรือหมดแรงโดยไม่มีสาเหตุ เคยสงสัยไหมว่า ความรู้สึกหนักอึ้งที่เราแบกอยู่นั้น แท้จริงแล้วคือ “ความเครียด” ที่เดี๋ยวมันก็ผ่านไป หรือกำลังเป็นสัญญาณของโรคซึมเศร้าที่ต้องการการดูแลจริงจัง สองภาวะนี้แม้จะดูคล้ายกันมาก แต่ก็มีจุดต่างสำคัญ การแยกระหว่างเครียด กับ ซึมเศร้าให้ออก จะช่วยให้เรารับมือได้ถูกจุดและทันท่วงที
ความเครียด (Stress) คืออะไร
ความเครียด คือปฏิกิริยาตามธรรมชาติของร่างกายและจิตใจ เมื่อต้องเจอกับสถานการณ์ที่กดดัน ท้าทาย หรือมีการเปลี่ยนแปลง โดยแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่
● ความเครียดเฉียบพลัน (Acute Stress) คือความเครียดที่เกิดจากความกดดันในบางสถานการณ์ เช่น เครียดก่อนสอบหรืองานเร่งด่วน เมื่อสถานการณ์นั้นจบไป ร่างกายก็จะกลับสู่ปกติ
● ความเครียดเกิดขึ้นหลายครั้งติดต่อกัน (Episodic Acute Stress) คือความเครียดที่เกิดขึ้นพร้อม ๆ กันหลายครั้ง หลายเรื่อง เช่น มีปัญหาสุขภาพจนทำให้ตกงานและต่อมาทะเลาะกับครอบครัว เป็นต้น
● ความเครียดเรื้อรัง (Chronic Stress) คือความกังวลที่เกิดขึ้นทุกวันและสะสมจนเป็นความเครียดที่เกินจะรับมือ เช่น ปัญหาการเงินที่แก้ไม่ตก หรือความสัมพันธ์ที่เป็นพิษ เมื่อร่างกายอยู่ในภาวะกดดันนาน ๆ โดยไม่ผ่อนคลาย จะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคทางจิตเวช เช่น โรควิตกกังวล หรือโรคซึมเศร้า
อาการของภาวะเครียด
● ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ หัวใจเต้นเร็ว
● นอนไม่หลับ เบื่ออาหาร หรือกินมากกว่าปกติ
● หงุดหงิดง่าย กังวลใจ สมาธิสั้น
● ถอยห่างจากสังคม ไม่อยากทำสิ่งที่เคยชอบ
โรคซึมเศร้า (Depression) คืออะไร

โรคซึมเศร้า (Major Depressive Disorder) ไม่ใช่แค่ความรู้สึกเศร้าหรือความอ่อนแอ แต่เป็นโรคทางจิตเวชประเภทหนึ่ง ที่เกิดจากความผิดปกติของสารเคมีในสมอง เช่น เซโรโทนิน ที่ควบคุมอารมณ์ ร่วมกับปัจจัยแวดล้อมอื่น ๆ เช่น พันธุกรรม หรือเหตุการณ์กระทบกระเทือนจิตใจ
ภาวะนี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่ออารมณ์ ความคิด และการใช้ชีวิตประจำวันอย่างรุนแรง และไม่สามารถหายได้เองเพียงแค่พยายามคิดบวก หรือออกไปเที่ยว แต่ต้องการการรักษาที่ถูกต้องจากแพทย์
อาการของโรคซึมเศร้า
โรงพยาบาลแบงค็อก เมนทัล เฮลท์ (BMHH) โรงพยาบาลเฉพาะทางด้านสุขภาพจิต ในเครือโรงพยาบาลเวชธานี อธิบายว่า อาการของโรคซึมเศร้ามีได้ตั้งแต่เล็กน้อยแต่เรื้อรัง (Persistent Depressive Disorder) ไปจนถึงขั้นรุนแรง (Major Depressive Disorder: MDD) โดยสามารถสังเกตตัวเองหรือคนรอบข้างได้ จากอาการที่พบได้บ่อย ดังนี้
● มีอารมณ์ซึมเศร้า รู้สึกเศร้า หดหู่ สิ้นหวัง ว่างเปล่า แทบตลอดทั้งวัน
● ความสนใจหรือความสุขในการทำกิจกรรมที่เคยชอบ ลดลงอย่างเห็นได้ชัด
● น้ำหนักลดลงหรือเพิ่มขึ้นมากในเวลาอันสั้น (เบื่ออาหาร หรือ กินมากกว่าปกติ)
● นอนไม่หลับ หรือ นอนมากเกินไปแทบทุกวัน
● เคลื่อนไหวช้าลง หรือ กระสับกระส่าย กระวนกระวาย
● อ่อนเพลีย ไร้เรี่ยวแรงตลอดเวลา เหมือนพลังชีวิตหมดไป
● รู้สึกไร้ค่า หรือรู้สึกผิดอย่างมาก โทษตัวเองในทุกเรื่อง
● สมาธิลดลง ลังเล ตัดสินใจเรื่องง่าย ๆ ไม่ได้
● มีความคิดอยากตาย หรือคิดเรื่องการฆ่าตัวตายอยู่บ่อย ๆ
เปรียบเทียบ ความเครียด กับ ซึมเศร้า ต่างกันอย่างไร
- สาเหตุและตัวกระตุ้น
○ เครียด มักมี “ตัวกระตุ้น” ชัดเจน เช่น งาน เงิน ความสัมพันธ์ เมื่อตัวกระตุ้นนั้นหายไป หรือเราจัดการมันได้ อาการเครียดมักจะดีขึ้นหรือหายไป
○ ซึมเศร้า คือภาวะป่วยที่ดำดิ่งอยู่กับความรู้สึกเศร้าหรือว่างเปล่า แม้สถานการณ์รอบข้างจะดีขึ้นแล้ว หรือไม่มีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้น แต่อาการก็ยังคงอยู่ - การเห็นคุณค่าในตนเอง (Self-Esteem)
○ เครียด คุณอาจรู้สึกว่า “รับมือไม่ไหว” หรือ “เหนื่อย” แต่คุณยังคงเห็นคุณค่าในตัวเอง
○ ซึมเศร้า คุณมักรู้สึก “ไร้ค่า” “เป็นภาระ” และมีความรู้สึกผิด โทษตัวเองอย่างรุนแรง - ภาวะสิ้นยินดี (Anhedonia)
○ เครียด แม้จะเครียดเรื่องงาน แต่คุณยังสามารถ “มีความสุข” หรือ “เพลิดเพลิน” กับเรื่องอื่นได้บ้าง เช่น ดูซีรีส์แล้วขำ หรือมีความสุขกับอาหารมื้ออร่อย
○ ซึมเศร้า คุณจะสูญเสียความสามารถในการรู้สึกยินดีหรือมีความสุข แม้ในสิ่งที่เคยชอบมากก็ตาม โลกรอบตัวจะกลายเป็นสีเทาไปหมด
วิธีเช็กตัวเองว่า “แค่เครียด” หรือ “เริ่มซึมเศร้า”

ลองถามตัวเองด้วยคำถามง่าย ๆ เหล่านี้
● นานแค่ไหนแล้ว? อาการเศร้าหรือหดหู่เหล่านี้เป็นมานานเกิน 2 สัปดาห์แล้วหรือยัง
● กระทบชีวิตไหม? คุณยังลุกไปทำงาน เข้าสังคม หรือดูแลตัวเองตามปกติได้หรือไม่ หรือเริ่มทำสิ่งเหล่านี้ไม่ได้แล้ว
● ยังมีเรื่องให้ยิ้มไหม? คุณยังหัวเราะกับเรื่องตลก หรือรู้สึกมีความสุขกับอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ ได้อยู่หรือเปล่า
● คิดเรื่องความตายไหม? คุณเริ่มรู้สึกว่าการไม่มีอยู่ อาจจะดีกว่าหรือเปล่า
ถ้าคำตอบของคุณคือ “เป็นนานเกิน 2 สัปดาห์” “กระทบชีวิตมาก” “ไม่รู้สึกมีความสุขกับอะไรเลย” และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง “เริ่มคิดเรื่องความตาย” นี่คือสัญญาณชัดเจนว่าไม่ใช่แค่ความเครียด แต่อาจเป็นโรคซึมเศร้า
เมื่อไรควรพบจิตแพทย์
ไม่จำเป็นต้องรอให้อาการหนักก่อนถึงจะไปหาหมอ หากคุณรู้สึกว่าอาการเครียดหรือเศร้าส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิต การทำงาน หรือความสัมพันธ์ ติดต่อกันนานเกิน 2 สัปดาห์ และพยายามจัดการด้วยตัวเองแล้วไม่ดีขึ้น หรือที่แย่ที่สุดคือเริ่มมีความคิดอยากทำร้ายตัวเอง ควรปรึกษาจิตแพทย์ หรือพูดคุยกับนักจิตวิทยาเพื่อจะได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง
สำหรับผู้ที่มองหาสถานพยาบาลเฉพาะทาง โรงพยาบาลแบงค็อก เมนทัล เฮลท์ (BMHH) เป็นหนึ่งทางเลือกที่มีศูนย์รักษาโรคซึมเศร้า ซึ่งให้การดูแลแบบครบวงจร โดยหัวใจสำคัญของที่นี่คือการมุ่งเน้นตรวจพบโรคให้เร็วที่สุด และการทำงานร่วมกันของทีมสหสาขาวิชาชีพ (MDT) ที่จะร่วมกันวางแผนการรักษาที่อิงตามงานวิจัยและออกแบบมาเพื่อบุคคลนั้น ๆ โดยเฉพาะ ทำให้มีแนวทางการรักษาที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการทำจิตบำบัด การใช้ยา หรือการรักษาด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่อย่าง dTMS โดยมีเป้าหมายเพื่อช่วยให้ผู้ป่วยฟื้นฟูและกลับมามีสุขภาพจิตที่ดีอีกครั้ง การพบจิตแพทย์จึงไม่ใช่เรื่องน่ากลัว แต่คือการดูแลใจให้กลับมาแข็งแรงเหมือนเดิม
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
เครียดนาน ๆ จะกลายเป็นซึมเศร้าไหม
ความเครียดเรื้อรัง (Chronic Stress) ที่ไม่ได้รับการจัดการอย่างเหมาะสม ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อโรคซึมเศร้าได้ ดังนั้นการจัดการความเครียดจึงสำคัญมาก
เครียดแบบไหนควรพบจิตแพทย์
เมื่อความเครียดนั้นรุนแรงจนส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น นอนไม่หลับเลยเป็นสัปดาห์ กินอะไรไม่ได้ ประสิทธิภาพการทำงานตกต่ำอย่างชัดเจน หรือความเครียดนั้นทำให้ความสัมพันธ์กับคนรอบข้างแย่ลง ก็ควรไปปรึกษาจิตแพทย์เพื่อหาวิธีรับมือที่ถูกต้อง
โรคซึมเศร้ารักษาหายไหม
โรคซึมเศร้าสามารถรักษาหายได้ หากได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม โดยแพทย์จะใช้การรักษาควบคู่กัน ทั้งการใช้ยาเพื่อปรับสมดุลสารเคมี และการทำจิตบำบัดเพื่อปรับวิธีคิดและรับมือกับปัญหา
รู้ทันความเครียด เข้าใจโรคซึมเศร้า รับมือถูกทาง ฟื้นฟูได้ไว
ความเครียดคือปฏิกิริยาตอบสนองต่อสถานการณ์ที่มักจะหายไปเมื่อปัญหาคลี่คลาย แต่โรคซึมเศร้าคือภาวะเจ็บป่วยทางจิตใจที่ต้องการการรักษา การแยกแยะระหว่าง “เครียด กับ ซึมเศร้า” เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง หากพบว่าอาการเศร้า หรือหดหู่นั้นรุนแรง คงอยู่นานเกิน 2 สัปดาห์ และบั่นทอนการใช้ชีวิต อย่าลังเลที่จะขอความช่วยเหลือจากจิตแพทย์ เพื่อฟื้นฟูจิตใจให้กลับมาแข็งแรง