วิธีคำนวณภาษีขั้นบันได 2568 ฉบับจับมือทำ เข้าใจง่ายใน 5 สเต็ป
หลายคนอาจมองว่าเรื่องภาษีเป็นเรื่องไกลตัว และซับซ้อน โดยเฉพาะมนุษย์เงินเดือนที่คุ้นเคยกับการถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายไปแล้วทุกเดือน แต่การเข้าใจวิธีคำนวณภาษีขั้นบันไดถือเป็นทักษะการเงินที่สำคัญอย่างยิ่ง เพราะไม่เพียงช่วยให้เราตรวจสอบความถูกต้องของตัวเลขได้ แต่ยังเป็นประตูบานแรกที่เปิดไปสู่การวางแผนการเงินอย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย ในบทความนี้ เราได้นำเคล็ดลับการคำนวณภาษีจากทาง Krungsri The COACH แหล่งรวมความรู้ทางการเงินมาสรุปเนื้อหาให้เข้าใจได้แบบง่าย ๆ พร้อมตัวอย่างการคำนวณจริง เพื่อเปลี่ยนเรื่องภาษีให้กลายเป็นเรื่องง่ายสำหรับทุกคน
ภาษีขั้นบันไดคืออะไร ใครต้องจ่าย ?
ภาษีขั้นบันได คือ วิธีคำนวณภาษีโดยแบ่งเงินได้สุทธิออกเป็นช่วง ๆ ซึ่งแต่ละช่วงจะมีอัตราภาษีไม่เท่ากัน ยิ่งเงินได้สุทธิสูงขึ้น อัตราภาษีสำหรับช่วงรายได้ที่สูงขึ้นนั้นก็จะเพิ่มตามไปด้วย แต่หลักการสำคัญคือ จะใช้อัตราภาษีใหม่คำนวณเฉพาะส่วนของรายได้ที่อยู่ในขั้นนั้น ๆ เท่านั้น ไม่ใช่การนำรายได้ทั้งหมดไปคำนวณด้วยอัตราภาษีขั้นสูงสุดที่เรามี
5 ขั้นตอนคำนวณภาษีแบบขั้นบันได 2568 ด้วยตัวเอง

เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น ลองมาทำตาม 5 ขั้นตอนง่าย ๆ นี้ไปพร้อมกัน รับรองว่าคุณจะสามารถคำนวณภาษีของตัวเองได้อย่างแน่นอน
1. รวมรายได้ตลอดทั้งปี
เริ่มต้นด้วยการรวบรวมรายได้ทุกประเภทที่ต้องเสียภาษีตลอดทั้งปีภาษี (ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 31 ธันวาคม 2568) ไม่ว่าจะเป็นเงินเดือน ค่าจ้าง โบนัส รายได้จากงานฟรีแลนซ์ หรือรายได้อื่น ๆ โดยสามารถตรวจสอบตัวเลขที่แน่นอนได้จากเอกสารหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย (ใบ 50 ทวิ) ที่ได้รับจากบริษัท
2. หักค่าใช้จ่าย
หลังจากรวมรายได้ทั้งหมดแล้ว กฎหมายอนุญาตให้เราหักค่าใช้จ่ายเพื่อเป็นต้นทุนในการหารายได้ได้ สำหรับผู้ที่มีรายได้จากเงินเดือน (เงินได้ประเภทที่ 1 และ 2) สามารถหักค่าใช้จ่ายได้ 50% ของเงินได้ แต่สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท
3. หักค่าลดหย่อนทั้งหมดที่ตัวเองมี
ขั้นตอนนี้เปรียบเสมือนการหา “ตัวช่วย” ที่จะทำให้เราเสียภาษีน้อยลงอย่างถูกกฎหมาย ให้รวบรวมรายการลดหย่อนภาษีทั้งหมดที่คุณมีสิทธิ์ใช้ เช่น
● ค่าลดหย่อนส่วนตัว 60,000 บาท
● เงินสมทบกองทุนประกันสังคม ตามที่จ่ายจริง สูงสุดไม่เกิน 9,000 บาท
● ค่าลดหย่อนบิดามารดา (ที่อายุเกิน 60 ปี) คนละ 30,000 บาท
● ค่าลดหย่อนบุตร คนละ 30,000 – 60,000 บาท
● เบี้ยประกันชีวิต และประกันสะสมทรัพย์ ตามที่จ่ายจริง สูงสุด 100,000 บาท
● เบี้ยประกันสุขภาพของตัวเอง ตามที่จ่ายจริง สูงสุด 25,000 บาท และเมื่อรวมกับประกันชีวิตต้องไม่เกิน 100,000 บาท
● ค่าลดหย่อน Easy E-Receipt 2.0 (2568) จ่ายตามจริง แต่ไม่เกิน 50,000 บาท
4. คำนวณเงินได้สุทธิ
เมื่อได้ตัวเลขครบทั้ง 3 ส่วนแล้ว ให้นำมาคำนวณเพื่อหา “เงินได้สุทธิ” ซึ่งเป็นยอดเงินสุดท้ายที่จะถูกนำไปใช้เทียบกับอัตราภาษีขั้นบันได โดยใช้สูตรคำนวณง่าย ๆ คือ “เงินได้สุทธิ = รายได้ทั้งปี – ค่าใช้จ่าย – ค่าลดหย่อน”
5. เทียบอัตราภาษีขั้นบันไดได้เลย
เมื่อได้ยอดเงินได้สุทธิมาแล้ว ก็นำตัวเลขนั้นมาเข้าสู่ขั้นตอนสุดท้าย คือการคำนวณภาษีตามตารางอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาแบบขั้นบันได ซึ่งมีโครงสร้างดังนี้

จะเห็นได้ว่าเมื่อเราทำตามขั้นตอนทั้งหมด ตั้งแต่การรวบรวมรายได้ไปจนถึงการหาเงินได้สุทธิ เราจะเห็นภาพรวมทางการเงินของตัวเองชัดเจนขึ้น และสามารถระบุได้ว่าเราอยู่ในขั้นบันไดภาษีขั้นไหน ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญที่จะนำไปสู่การวางแผนในขั้นตอนต่อไป
ตัวอย่างการคำนวณภาษีขั้นบันไดแบบง่าย ๆ

เพื่อให้เห็นภาพการนำ 5 ขั้นตอนข้างต้นไปใช้จริง และเข้าใจการคำนวณแบบ “ขั้นบันได” ได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น ลองมาดูตัวอย่างไปพร้อมกัน
สมมติว่า คุณ B เป็นพนักงานบริษัท มีเงินเดือน 60,000 บาทต่อเดือน และมีสิทธิลดหย่อนพื้นฐานคือ ค่าลดหย่อนส่วนตัว และประกันสังคม สามารถคำนวณภาษีขั้นบันไดได้ดังนี้
● ขั้นตอนที่ 1 รวมรายได้ตลอดทั้งปี : เงินเดือน 60,000 บาท x 12 เดือน = 720,000 บาท
● ขั้นตอนที่ 2 หักค่าใช้จ่าย : หักค่าใช้จ่าย 50% ของรายได้ (แต่สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท) = 100,000 บาท
● ขั้นตอนที่ 3 หักค่าลดหย่อนทั้งหมด : ค่าลดหย่อนส่วนตัว 60,000 บาท + เงินสมทบกองทุนประกันสังคม 9,000 บาท = 69,000 บาท
● ขั้นตอนที่ 4 คำนวณเงินได้สุทธิ : 720,000 (รายได้) – 100,000 (ค่าใช้จ่าย) – 69,000 (ค่าลดหย่อน) = 551,000 บาท
● ขั้นตอนที่ 5 เทียบอัตราภาษีขั้นบันได : นำเงินได้สุทธิ 551,000 บาท มาคำนวณภาษีทีละขั้น ดังนี้
○ ขั้นที่ 1 (0 – 150,000 บาท) : ได้รับการ ยกเว้น = 0 บาท
○ ขั้นที่ 2 (150,001 – 300,000 บาท) : (300,000 – 150,000) x 5% = 7,500 บาท
○ ขั้นที่ 3 (300,001 – 500,000 บาท) : (500,000 – 300,000) x 10% = 20,000 บาท
○ ขั้นที่ 4 (500,001 – 750,000 บาท) : คำนวณเฉพาะส่วนที่เกินจาก 500,000 (551,000 – 500,000) x 15% = 51,000 x 15% = 7,650 บาท
● สรุปภาษีที่ต้องชำระทั้งหมด = 0 + 7,500 + 20,000 + 7,650 = 35,150 บาท
การทำความเข้าใจวิธีคำนวณภาษีขั้นบันไดจึงไม่ใช่แค่เรื่องของการทำตามหน้าที่ แต่เป็นทักษะสำคัญที่ช่วยให้เราบริหารจัดการเงินของตัวเองได้อย่างเต็มศักยภาพ เมื่อเราเห็นภาพรวมภาระภาษีที่ชัดเจน ก็จะสามารถวางแผนใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีต่าง ๆ เพื่อสร้างความมั่งคั่ง และบรรลุเป้าหมายทางการเงินในระยะยาวได้อย่างยั่งยืน