เครื่องฟอกอากาศ สร้างสุขภาพดีด้วยอากาศบริสุทธิ์ภายในบ้าน
ในปัจจุบันเรากำลังเผชิญหน้ากับปัญหามลภาวะทางอากาศที่รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะปัญหาฝุ่น PM 2.5 ที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของเราอย่างน่ากังวล การมีเครื่องฟอกอากาศภายในบ้าน จึงกลายเป็นสิ่งจำเป็นที่จะช่วยป้องกันปัญหาด้านสุขภาพของทุกคนในครอบครัว ซึ่งเครื่องฟอกอากาศไม่เพียงแต่ช่วยให้เราได้อากาศบริสุทธิ์เท่านั้น แต่ยังมีประโยชน์อื่น ๆ อีกมากมายที่จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของคุณให้ดีขึ้นอย่างรอบด้าน
เครื่องฟอกอากาศคืออะไร
เครื่องฟอกอากาศ (Air Purifier) คือ อุปกรณ์สำหรับใช้งานภายในบ้านเพื่อฟอกอากาศให้สะอาด ขจัดมลพิษ และเพิ่มคุณภาพของอากาศ โดยจะทำหน้าที่กรองสิ่งแปลกปลอมในอากาศ เช่น ฝุ่นละออง แบคทีเรีย เชื้อโรค สารก่อภูมิแพ้ รวมไปถึงกลิ่นไม่พึงประสงค์ เปรียบเสมือนเป็นเครื่องดักฝุ่น มลพิษทางอากาศ และสารต่าง ๆ ภายในพื้นที่ ก่อนที่เราจะสูดดมเข้าไป เพื่อให้ทุกคนในครอบครัวได้หายใจในอากาศที่สะอาด และปลอดโปร่งยิ่งขึ้น
ประเภทของเครื่องฟอกอากาศ

ก่อนจะเลือกเครื่องฟอกอากาศที่เหมาะสมนั้น จำเป็นต้องเข้าใจเทคโนโลยีของเครื่องฟอกอากาศในแต่ละประเภท เนื่องจากแต่ละเทคโนโลยีจะมีจุดเด่นที่แตกต่างกัน การทำความเข้าใจถึงข้อดีและข้อจำกัดของแต่ละประเภท จะช่วยให้คุณเลือกเครื่องกรองฝุ่นหรือเครื่องกรองอากาศได้อย่างเหมาะสมตามการใช้งาน
1. HEPA Filter
เครื่องฟอกอากาศ HEPA เหมาะสำหรับการกรองอนุภาคขนาดเล็ก เช่น PM 2.5 และสารก่อภูมิแพ้ โดยสามารถกรองฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ถึง PM 0.1 และอนุภาคขนาดเล็กพิเศษถึง 0.003 ไมครอน
ข้อดี :
• กรองอนุภาคขนาดเล็กได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ทำให้พื้นหรือเฟอร์นิเจอร์มีฝุ่นเกาะ
• ช่วยกำจัดเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส รวมถึงอนุภาคขนาดเล็กพิเศษ ทำให้อากาศในบ้านสะอาด สดชื่น และดีต่อสุขภาพ
ข้อจำกัด :
• ไม่สามารถกรองกลิ่นได้
• ต้องเปลี่ยนแผ่นกรองเป็นระยะ ทำให้มีค่าใช้จ่ายต่อเนื่อง
2. Activated Carbon
เครื่องฟอกอากาศที่มีเทคโนโลยี Activated Carbon เป็นตัวเลือกที่เหมาะสำหรับการกำจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์และสารเคมีระเหยในอากาศ ด้วยพื้นผิวที่มีรูพรุนขนาดเล็กจำนวนมาก ทำให้สามารถดูดซับสารต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ข้อดี :
• ดูดซับกลิ่นไม่พึงประสงค์ได้ดีเยี่ยม เช่น กลิ่นควัน กลิ่นอาหาร กลิ่นสัตว์เลี้ยง
• ทำงานเงียบ ไม่ผลิตโอโซนหรือสารพิษ
• ราคาไม่แพง เมื่อเทียบกับเทคโนโลยีอื่น
ข้อจำกัด :
• ไม่สามารถกรองฝุ่นละออง PM 2.5 หรือเชื้อโรคได้
• ประสิทธิภาพลดลงเมื่อใช้งานครบกำหนด ต้องเปลี่ยนเป็นระยะ
3. UV Light
เครื่องฟอกอากาศเทคโนโลยีแสง UV ช่วยกำจัดเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส และเชื้อโรคในอากาศ ด้วยการใช้แสง UV-C ที่มีคลื่นความยาวพิเศษในการทำลายเชื้อโรค
ข้อดี :
• ทำลายเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส และเชื้อราได้อย่างมีประสิทธิภาพ
• ไม่ต้องใช้สารเคมีในการกำจัดเชื้อโรค ปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อม
• ไม่สร้างสารตกค้างหรือผลข้างเคียงที่เป็นอันตราย
• เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับการแพ้ และโรคทางเดินหายใจ
ข้อจำกัด :
• ไม่สามารถกรองฝุ่นละอองหรือกลิ่นได้
• หลอด UV มีอายุการใช้งานจำกัด ต้องเปลี่ยนเป็นระยะ
4. Ionizer
เครื่องฟอกอากาศเทคโนโลยี Ionizer ทำงานโดยปล่อยไอออนลบออกมาเพื่อจับตัวกับอนุภาคฝุ่นและสิ่งสกปรกในอากาศ ทำให้มีน้ำหนักมากขึ้นและตกลงสู่พื้นผิว หรือถูกดูดเข้าสู่เครื่อง
ข้อดี :
• ช่วยให้อากาศมีความสดชื่น คล้ายกับอากาศในธรรมชาติ
• ไม่มีแผ่นกรองที่ต้องเปลี่ยน ประหยัดค่าบำรุงรักษา
• ทำงานเงียบมาก เหมาะสำหรับใช้ในห้องนอน
• ช่วยลดไฟฟ้าสถิตในอากาศ
ข้อจำกัด :
• ประสิทธิภาพในการกรองไม่สูงเท่าระบบ HEPA
• ฝุ่นที่ตกลงสู่พื้นผิวอาจลอยขึ้นมาใหม่เมื่อมีการเคลื่อนไหว
• ไม่สามารถกรองกลิ่นหรือสารเคมีได้
5. Photocatalytic Oxidation (PCO)
เครื่องฟอกอากาศเทคโนโลยี PCO จะใช้การรวมกันของแสง UV และตัวเร่งปฏิกิริยา เพื่อสร้างปฏิกิริยาออกซิเดชันที่สามารถย่อยสลายสารปนเปื้อนต่าง ๆ ให้กลายเป็นน้ำและคาร์บอนไดออกไซด์
ข้อดี :
• ย่อยสลายสารเคมีระเหย กลิ่น และเชื้อโรคได้ในเวลาเดียวกัน
• ลดปัญหาสิ่งปนเปื้อน
• ไม่ต้องเปลี่ยนแผ่นกรองบ่อย ประหยัดค่าใช้จ่าย
ข้อจำกัด :
• ราคาเครื่องค่อนข้างสูง เมื่อเทียบกับเทคโนโลยีอื่น
• ประสิทธิภาพขึ้นอยู่กับความเข้มของแสง และสภาพของตัวเร่งปฏิกิริยา
• ไม่เหมาะสำหรับการกรองอนุภาคฝุ่นขนาดใหญ่
ประโยชน์ของเครื่องฟอกอากาศ
การใช้งานเครื่องฟอกอากาศ เป็นการลงทุนเพื่อสุขภาพที่ดีของทุกคนในครอบครัว โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่มลภาวะทางอากาศรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งเครื่องฟอกอากาศมีประโยชน์ดังนี้
• ลดอาการภูมิแพ้และระคายเคือง – ช่วยลดอาการภูมิแพ้อันมีสาเหตุมาจากไรฝุ่น หรือฝุ่นละอองต่าง ๆ ที่อยู่ในอากาศ กรองแบคทีเรีย ไวรัสต่าง ๆ ที่มากับอากาศ ที่ล้วนเป็นสาเหตุที่ก่อให้เกิดอาการภูมิแพ้ได้
• กำจัดฝุ่นละอองขนาดเล็กอย่าง PM 2.5 – เครื่องฟอกอากาศที่มีประสิทธิภาพสูง สามารถกรองฝุ่นละอองที่มีอนุภาคขนาดเล็กได้อย่างมีประสิทธิภาพ
• กำจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์ – ลดกลิ่นไม่พึงประสงค์ในอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ
• ทำลายเชื้อโรคและแบคทีเรีย – ฆ่าเชื้อโรคและไวรัสในอากาศ ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงของการแพร่กระจายของโรคต่าง ๆ ได้
วิธีเลือกเครื่องฟอกอากาศให้เหมาะกับการใช้งาน
การเลือกซื้อเครื่องฟอกอากาศให้เหมาะสมกับการใช้งาน จำเป็นต้องพิจารณาหลายปัจจัยให้รอบคอบ เพื่อให้ได้เครื่องฟอกอากาศที่ตอบโจทย์ความต้องการและคุ้มค่ากับการลงทุน
• พิจารณาขนาดพื้นที่ห้อง – วัดขนาดพื้นที่ห้อง และเลือกเครื่องฟอกอากาศที่มีประสิทธิภาพในการกรองอากาศครอบคลุมพื้นที่ห้องได้อย่างเหมาะสม
• ตรวจสอบประสิทธิภาพการกรองฝุ่น PM 2.5 – เครื่องฟอกอากาศ ควรสามารถกรองฝุ่น PM 2.5 ได้อย่างน้อย 99.97% และจำเป็นต้องมีตัวกรอง HEPA ในการกรอง PM 2.5 รวมถึงสารก่อภูมิแพ้
• พิจารณาเรื่องงบประมาณ – เครื่องฟอกอากาศมีหลายราคาให้เลือกซื้อ ขึ้นอยู่กับฟังก์ชันการใช้งานและเทคโนโลยี
• คำนวณค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา – พิจารณาราคาแผ่นกรองและความถี่ในการเปลี่ยน เพื่อประเมินค่าใช้จ่ายระยะยาวในการใช้งานเครื่องฟอกอากาศ
เลือกใช้เครื่องฟอกอากาศจาก LG
เครื่องฟอกอากาศได้กลายเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าพื้นฐานไปแล้วในปัจจุบัน ด้วยความสามารถในการกรองฝุ่น PM 2.5 กำจัดเชื้อโรค ลดสารก่อภูมิแพ้ และขจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์ การเลือกซื้อควรพิจารณาจากเทคโนโลยี ขนาดพื้นที่ และงบประมาณให้เหมาะสม
สำหรับใครที่กำลังมองหาเครื่องฟอกอากาศคุณภาพสูง ขอแนะนำเครื่องฟอกอากาศ LG PuriCare ที่มาพร้อมเทคโนโลยีในการกำจัดฝุ่นละอองในอากาศ สร้างอากาศบริสุทธิ์ภายในบ้าน อีกทั้งยังสามารถควบคุมการทำงานได้จากทุกที่ทุกเวลา ผ่านแอป LG ThinQ เพื่อให้อากาศภายในบ้านสะอาด แม้ในวันที่มีฝุ่นเยอะ
โทรศัพท์ ทุกวัน 8:00 – 18:00 น. 02 057 5757
อีเมล [email protected]