
ภาวะต้อกระจก หรือโรคต้อกระจกยังคงเป็นปัญหาสุขภาพทางด้านดวงตาที่ผู้สูงอายุหลากหลายท่านกำลังเผชิญ ด้วยอายุที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้เลนส์แก้วตาที่เคยมีลักษณะโปร่งใสเหมือนกระจก อาจเกิดการเสื่อมสภาพ มีสีขาวขุ่น เกิดเป็นต้อ จนมองเห็นได้ไม่ชัดเจน ตาพร่ามัวในที่สุด และเพราะเป็นปัญหาที่เกี่ยวข้องกับเลนส์แก้วตาที่อยู่ภายใน จึงไม่สามารถรักษาให้หายได้ด้วยการกินยา การฉีดยาเหมือนกับโรคอื่นๆ แต่ต้องอาศัยการผ่าตัดเพื่อสลายต้อกระจก เปลี่ยนเลนส์แก้วตาเทียมใหม่เท่านั้น ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ 2 วิธี คือ การผ่าตัดแบบสลายต้อกระจก (Phacoemulsification) และ การผ่าตัดแบบเปิดแผลกว้าง แล้ว 2 วิธีนี้ต่างกันอย่างไร แบบไหนให้ผลลัพธ์ดีกว่ากัน? สำหรับผู้สูงอายุที่กำลังเผชิญภาวะต้อกระจก หรือบุตรหลานที่กำลังมองหาวิธีรักษาต้อกระจกให้กับครอบครัว ชวนมาดูจุดเด่นของแต่ละวิธีไปพร้อมกันในบทความนี้ได้เลย
- การผ่าตัดแบบ Phacoemulsification คืออะไร มีจุดเด่นอย่างไร
การผ่าตัดแบบ Phacoemulsification เป็นวิธีรักษาต้อกระจกด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง (Ultrasound) มีขั้นตอน คือ ใช้คลื่นความถี่สูงสลายต้อกระจก หรือเลนส์ที่เสื่อมสภาพในถุงหุ้มเลนส์ก่อนจะดูดออกมาผ่านท่อขนาดเล็ก จากนั้นจึงใส่เลนส์แก้วตาเทียมแบบพับได้แทนที่เลนส์แก้วตาธรรมชาติที่เสื่อมสภาพ โดยผู้ที่มีปัญหาค่าสายตาร่วมด้วย ไม่ว่าจะสายตาสั้น สายตายาว สายตาเอียง อาจมีการเลือก ใส่เลนส์ที่ตรงกับค่าสายตา หรือมีขนาดพอดีเข้าไปในตำแหน่งที่ต้องการ เพื่อช่วยให้ผู้มีภาวะต้อกระจก สามารถกลับมามองเห็นได้ชัดเจน มีค่าสายตาปกติอีกครั้ง
ในส่วนของจุดเด่นของการผ่าตัดแบบ Phacoemulsification คือ ไม่จำเป็นต้องเย็บแผล ด้วยแผลที่ได้จากการผ่าตัดนั้นจะมีขนาดเล็กเพียง 2.6-3.0 มิลลิเมตรเท่านั้น แผลจึงสามารถสมานตัวได้เองอัตโนมัติ ไม่ทำให้เกิดอาการบวมช้ำ ใช้เวลาพักฟื้นสั้น สามารถกลับบ้านได้ไว เพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังการผ่าตัด และภายหลังพักฟื้นประมาณ 2-3 วัน ดวงตาก็จะค่อยๆ มองเห็นได้ชัดเจนมากขึ้น ได้ค่าสายตาปกติกลับคืนมา พร้อมใช้สายตาและทำกิจกรรมในชีวิตประจำวันได้เลยทันที เช่น การเดิน การขับรภ หรือแม้แต่การออกกำลังกายก็ด้วย - การผ่าตัดแบบเปิดแผลกว้างคืออะไร มีจุดเด่นอย่างไร
วิธีที่สองคือ การผ่าตัดแบบเปิดแผลกว้าง (Extracapsular Cataract Extraction) ซึ่งเป็นการผ่าตัดในรูปแบบดั้งเดิม ผ่านการเปิดแผลกว้างประมาณ 12-13 มม. เพื่อเปลี่ยนเลนส์แก้วตาที่ขุ่นออก แล้วใส่เลนส์ตาเทียมเข้าไปแทนที่ และแม้จะเป็นการผ่าตัดแบบดั้งเดิมที่ไม่ได้มีเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาเสริม ให้แผลที่มีขนาดใหญ่และใช้เวลาพักฟื้นนานกว่าแบบแรก แต่จุดเด่นของการผ่าตัดแบบเปิดแผลกว้างนี้สามารถจะใช้ในกณีที่ต้อกระจกมีความสุกและแข็งมาก หรือมีอาการรุนแรง ซึ่งไม่สามารถใช้วิธีการสลายด้วยคลื่นอัลตราซาวด์หรือ Phacoemulsification ได้นั่นเอง
ภาวะต้อกระจก หรือโรคต้อกระจกเป็นปัญหาสุขภาพทางสายตาที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ หรือผู้ที่เผชิญโรคนี้ ยิ่งในกรณีที่เลนส์ตามีความขุ่นมัวสูง มองเห็นได้ไม่ชัดเจน ต้องรีบเร่งทำการรักษาด้วยการผ่าตัด โดยทั้งการผ่าตัดแบบ Phacoemulsification และการผ่าตัดแบบเปิดแผลกว้าง ต่างก็มีจุดเด่นและความเหมาะสมกับอาการต้อกระจกที่ต่างกัน ในส่วนของ Phacoemulsification จะเป็นการผ่าตัดสลายต้อกระจกด้วยคลื่นอัลตราซาวดน์ที่ไม่ทำให้เกิดแผลใหญ่ ใช้เวลาน้อย ฟื้นตัวได้ไวกว่า เหมาะกับผู้ที่มีภาวะยังไม่รุนแรงมากนัก ส่วนการผ่าตัดแบบดั้งเดิมอย่างการผ่าตัดแบบแผลกว้างจะสามารถรักษาภาวะต้อกระจกได้แบบลงลึกมากกว่า เพราะสามารถผ่าต้อกระจกมีความสุกและแข็งมากออกได้ พร้อมเปลี่ยนเลนส์แก้วตาเทียมใหม่ อย่างไรก็ตาม ก่อนทำการรักษาแพทย์มากประสบการณ์จะเป็นผู้ทำการวินิจฉัยและตรวจสอบระดับความรุนแรงของอาการผู้ป่วยเพื่อเลือกแนวทางการรักษาที่เหมาะสมที่สุด