ความตายเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อถึงเวลาทุกคนก็ต้องจากไป ความจริงข้อนี้คือสิ่งที่ผู้คนรับไม่ได้ แต่สุดท้ายก็ต้องเจอ “หมอแดง” น.อ.พรศักดิ์ ผลเจริญสมบูรณ ที่ปรึกษาทีมดูแลคนไข้ระยะท้าย รพ.สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ ทหารเรือแพทย์ที่ผู้ป่วยระยะสุดท้ายอยากเจอก่อนจากไป หมอแดงเล่าถึงขั้นตอนการทำงาน ในการส่งผู้ป่วยระยะสุดท้าย ในวาระสุดท้ายของชีวิตว่า จะต้องเข้าสู่กระบวนการทำใจ และเลือกว่าจะจากไปอย่างไร บางคนเลือกที่จะเสียชีวิตแบบไม่ทรมาน บางคนเลือกที่จะยื้อชีวิตไม่ยอมจากไป แต่จะมีวิธีการอย่างไร เพื่อให้ผู้ป่วยเหล่านี้จากไปอย่างสงบ
เรื่องนี้คนที่เป็นผู้ป่วยดังกล่าวควรฟัง ส่วนผู้ที่ไม่ป่วยก็ควรฟัง เพราะหากท่านจะต้องดูแลญาติพี่น้องผู้ป่วยที่เข้าสู่ภาวะสุดท้ายของชีวิต จะได้มีความรู้ความเข้าใจ โดยหมอแดงจะมาให้ความรู้เรื่องการเตรียมตัวตาย ในวันที่ 29 กันยายน โรงแรม MII HOTEL ศรีนครินทร์ ซึ่งจัดโดย อาจารย์นิติกฤตย์ กิตติศรีวรนันท์ ผู้เชี่ยวชาญศาสตร์พลังตัวเลข และBLS365 โดยสามารถสอบถามข้อมูล ไลน์: @365wow
ข้อที่ 1 ต้องบอกความจริงให้ผู้ป่วยรับรู้โรคที่เป็นอยู่ ช่วงเวลาที่เหลืออยู่ และเข้าสู่กระบวนการยอมรับความจริง
“คนไข้ที่อยู่ระยะสุดท้ายที่พามาหาผม เราจะบอกแนวทางว่า ทุกคนต้องยอมรับความจริงว่า ทุกคนต้องจากโลกนี้ไป มันคือเรื่องจริงที่มนุษย์ต้องตาย เราก็จะถามว่า จะยอมรับไหมคนที่อยู่ในโลกนี้จะต้องไป คนไข้ก็ต้องไป หมอก็ต้องไป และก็จะถามเรื่องความเจ็บปวดการเจ็บป่วยของเขาว่ารู้ไหมว่า ตนเองเป็นโรคอะไร เพราะคนไข้บางคนไม่รู้นะครับว่าตนเองเป็นโรคอะไร ผมจะแนะนำไม่ให้ปิดบัง เพราะมันแสดงถึงความไม่จริงใจต่อกัน เพราะเขาไม่รู้ว่าเป็นอะไร ทำไมต้องพาเขามาที่ห้องมะเร็ง ป้ายก็ห้องมะเร็ง แต่ทำไมหลอกว่าไม่ใช่ เพราะฉะนั้นถ้าเขามาหาผม มาที่คลินิกประคับประครอง ก็จะบอกความจริง ระยะนานไหม บางคนไม่นาน บางคนยังรักษาได้”
“บางคนมาหาผมคือ ไม่ต้องการรักษาแล้ว ต้องการจะตายเลย เขาถอดใจ บางคนก็ถึงเวลาที่จะต้องจากโลกนี้ไป บางคนยังรักษาได้แต่หายหรือไม่หายต้องมาลุ้นกันอีกที ผมไม่แนะนำให้ถอดใจ ซึ่งเขาอาจจะเสียใจกับข่าวร้ายแล้วมันมีผลทางภาวะจิตใจ แต่เรื่องแบบนี้มันจะเป็นภาวะหนึ่งที่คิดสั้นอยากจะฆ่าตัวตาย พอเข้าสู่กระบวนการยอมรับความจริง เราจะให้มุมมองให้หลักความคิด”
“คนที่เข้ามาจะมีคนอยากจะจากไปอย่างไม่ทรมาน คนที่ไม่อยากจากไป อยากยื้อชีวิตให้นานที่สุด เราไม่ได้มีหน้าที่ไปบังคับว่า คนไข้ต้องตายดี ต้องไม่ทรมาน หน้าที่ของเราคือบอกเขาว่า ต้องการยังไง แล้วเราจะช่วยแนะนำแนวทางนั้นให้”
ข้อ 2 ตายแบบสบาย ต้องตายแบบธรรมชาติ
“บางคนต้องการตายสบาย หมอก็แนะนำให้ใช้ขบวนการธรรมชาติ ก็จะมีในเรื่องของอาหาร การหลับแล้วไม่ตื่น เรื่องติดเชื้อหรือภาวะใดที่มันจะเข้ามา หน้าที่ของเราคือยอมรับความจริงโดยไม่ยื้อ ถ้าเขามีความทุกข์ทรมานก็รักษาไป รักษาโดยที่ไม่ได้ต้องการให้เขาหาย ไม่ใช่ว่าสู้จนต้องหาย เพราะยังไงมันก็ไม่หาย หน้าที่ของเราคือรักษาความทุกข์ ความทรมานที่มันเกิดขึ้น”
“อย่างเช่น ถ้ากินไม่ได้ก็ไม่ต้องกิน หรือถ้ามีเหตุให้เรานอนไม่ตื่น คนรอบข้างก็ต้องเข้าใจว่า คนไข้ระยะสุดท้าย เขาต้องการจากไปแบบสบายหลับไม่ตื่น นั่นคือความต้องการของเขา ฉะนั้นหมอก็จะบอกคนรอบข้างว่า ถ้าเขาหลับแล้วไม่ตื่นก็ไม่ต้องปลุกเขา ให้เขาหลับไปเลย 1 วัน 2 วัน 3 วัน จนกระทั่งเขาเสียชีวิตไป นั่นก็คือสิ่งที่เขาได้สมปรารถนา”
“การจากไปตามธรรมชาติแบบที่เราเจอบ่อยอีกอันหนึ่งก็คือ การติดเชื้อ ถ้าเป็นคนไข้ติดเชื้อบางรายถ้าให้ยาฆ่าเชื้อแล้วดีขึ้นก็รักษาไป แต่คนไข้ระยะสุดท้ายบางรายที่คุณภาพชีวิตไม่ดีอยู่แล้ว ก่อนมาก็ติดเตียงอยู่แล้ว ป่วยอยู่แล้ว มันมหาศาลอยู่แล้ว ถ้าติดเชื้อความดันจะตก สมองเขาจะชัตดาวน์ มันเหมือนคนหน้ามืดเป็นลม ทุกอย่างจะมืดดับ คนไข้ติดเชื้ออาจจะทรมานจากการครั่นเนื้อครั่นตัวเจ็บตัวบ้าง เราก็จะให้ยาให้พาราให้มอร์ฟีนให้ยาลดไข้ แล้วพอเขาสบายเนื้อสบายตัวไม่ทรมานมาก การติดเชื้อมันก็เป็นขบวนการของมันไป เราก็ดูแลเรื่องการติดเชื้อให้ทรมานน้อยลง จนกระทั่งถึงวาระหนึ่งที่ความดันเขาเริ่มต้น สมองเขาเริ่มชัตดาวน์ เขาก็จะจากไปอย่างไม่ทรมาน”
ข้อ 3 เยียวยาจิตใจ บำรุงสุขก่อนตาย
“แล้วก็เรื่องบำรุงสุข บางคนชอบเรื่องศาสนา บางคนชอบเรื่องศิลปะวัฒนธรรม บางคนชอบอยู่กับพี่น้อง บางคนชอบอยู่เฉยๆ ไม่มีใครรบกวน เราก็ดูแลเขาไป ทั้งหมดในการรักษาไม่ใช่การยื้อ แต่เป็นการทุเลาความทุกข์จากอาการต่างๆ และเสริมความสุขให้เขามีความสุขในระยะสุดท้าย เราต้องอธิบายให้คนไข้เข้าใจ”
“ในเรื่องของจิตวิญญาณ เราก็ถามว่า ถ้าตายแล้วอยากไปไหนต่อ อันนี้เป็นเรื่องความเชื่อของทางศาสนาแต่ละคน อยากเจอใคร อยากเจอนักบวช อยากเจอแม่ชี อยากเจอใครที่สามารถนำจิตวิญญาณไปสู่สิ่งที่ต้องการ ก็แล้วแต่ความเชื่อของเขา อันนี้ก็แล้วแต่ว่าเขาต้องการแบบไหน และเราสามารถช่วยได้ คนไข้ของหมอส่วนมากจะเป็นพุทธ หมอก็จะบอกจะถามเขาไว้ว่า ต้องการแบบไหน เราก็จะเตรียมให้เขาแบบนั้น”
สำหรับคนที่เลือกเส้นทาง ยื้อชีวิตให้ได้นานที่สุด
“บางคนเขาจะขออยู่ในโลกใบนี้ให้นานที่สุด ทรมานแค่ไหนก็จะอยู่ มีคนไข้คนหนึ่งจุดประสงค์ของเขาคือการอยู่กับพ่อกับแม่ให้นานที่สุด เขาจะไม่ยอมรับยาของหมอ เพราะเขารู้ว่าการรับยาจะทำให้เขาหลับได้ ทำให้เวลาที่เจอพ่อกับแม่น้อยลง เราก็จะบอกเขาไว้ก่อนว่า ถ้าหนูเหนื่อยให้หนูบอกหมอนะ คือเราต่อยาทุกอย่างไว้หมดแล้ว ยาจะทำให้เขาทุเลาอาการเหนื่อยได้ พอหลับแล้วเขาจะได้ตื่นมาใหม่ได้ แต่เขาขอไม่รับยาขอแคยาแปะธรรมดา เหนื่อยจนขาดใจหมดสติแต่ไม่ตายฟื้นขึ้นมาใหม่ 2-3 รอบ จนกระทั่งรอบสุดท้ายเขาต้องบอกว่า ปาป๊าหนูขอโทษนะ หนูไม่ไหวแล้ว และยอมรับยาเพื่อให้เขาหายทุกข์ทรมาน”
“มีคุณป้าคนหนึ่งไม่อยากจะตาย จะอยู่นานที่สุดเท่าที่อยู่ได้ เขาจะกินเพื่อให้อยู่ได้ ต่อสายทุกอย่างที่ทางการแพทย์จะอำนวยทุกอย่างได้ แต่ทุกครั้งที่ได้อาหารเขาต้องปวด พอปวดก็ต้องมารพ. จนกระทั่งรอบสุดท้ายก็ปวดร้องโวยวาย ให้ยามอร์ฟีนให้ทุเลา สุดท้ายเขาก็สู้ธรรมชาติที่เสื่อมสลายไม่ได้ ร่างมันไม่ไหวแต่ใจเขายังอยากอยู่”
“บางคนก็ไม่รับยาเพราะกลไกลทางศาสนา บางคนก็ไม่รับยาเพราะประสบการณ์ในการรับยาจะทำให้เขาง่วงแล้วหลับ พอหลับแล้วไม่ตื่นก็ขอไม่รับยาก็มี เราไม่ได้ต้องการแทรกแซงเขา เราไม่อยากให้เขาทุกข์ทรมาน แต่เขาเลือกที่จะทุกข์ทรมาน ก็ต้องยอมรับในสิ่งที่เขาตัดสินใจที่เลือกแบบนั้น”