ประชากรและสังคม 2567 มหาวิทยาลัยมหิดล สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล

สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล จัดการประชุมวิชาการระดับชาติ ครั้งที่ 18 “ประชากรและสังคม 2567” ภายใต้แนวคิด “ประชากรและความยั่งยืน: ประเด็นสำคัญทางนโยบาย” (Population and Sustainability: Key Policy Highlight)

สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล มุ่งสร้างองค์ความรู้ด้านประชากรและสังคมอย่างต่อเนื่องทั้งในระดับประเทศและนานาชาติ สอดคล้องกับบริบททางสังคมที่เปลี่ยนแปลงและเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา สถาบันฯ ดำเนินบทบาทสำคัญทางวิชาการให้กับสังคมไทย ด้วยการพัฒนาสร้างเสริมการศึกษาวิจัยและพัฒนาองค์ความรู้ที่หลากหลายในลักษณะสหวิทยาการด้านประชากรและสังคม อีกทั้งนำเสนอความรู้และข้อค้นพบสำคัญ ๆ จากการศึกษาวิเคราะห์วิจัย ไปเผยแพร่ทั้งในแวดวงวิชาการ ผู้กำหนดนโยบาย สื่อมวลชน และสาธารณชนทั่วไป เพื่อเป็นข้อเสนอแนะเชิงรุก…

Home / PR NEWS / สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล จัดการประชุมวิชาการระดับชาติ ครั้งที่ 18 “ประชากรและสังคม 2567” ภายใต้แนวคิด “ประชากรและความยั่งยืน: ประเด็นสำคัญทางนโยบาย” (Population and Sustainability: Key Policy Highlight)

สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล มุ่งสร้างองค์ความรู้ด้านประชากรและสังคมอย่างต่อเนื่องทั้งในระดับประเทศและนานาชาติ สอดคล้องกับบริบททางสังคมที่เปลี่ยนแปลงและเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา สถาบันฯ ดำเนินบทบาทสำคัญทางวิชาการให้กับสังคมไทย ด้วยการพัฒนาสร้างเสริมการศึกษาวิจัยและพัฒนาองค์ความรู้ที่หลากหลายในลักษณะสหวิทยาการด้านประชากรและสังคม อีกทั้งนำเสนอความรู้และข้อค้นพบสำคัญ ๆ จากการศึกษาวิเคราะห์วิจัย ไปเผยแพร่ทั้งในแวดวงวิชาการ ผู้กำหนดนโยบาย สื่อมวลชน และสาธารณชนทั่วไป เพื่อเป็นข้อเสนอแนะเชิงรุก ในการเตรียมความพร้อมรับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างเท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลงในมิติต่างๆ ทั้งมิติเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม สุขภาพ วัฒนธรรม และการเมือง อย่างต่อเนื่องทั้งในระดับประเทศ และในภูมิภาคต่างๆ ของโลก

วันที่ 1 กรกฎาคม 2567 สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล จัดการประชุมวิชาการระดับชาติ ครั้งที่ 18 “ประชากรและสังคม 2567” ภายใต้แนวคิด “ประชากรและความยั่งยืน: ประเด็นสำคัญทางนโยบาย” (Population and Sustainability: Key Policy Highlight) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นเวทีในการนำเสนอข้อมูล ผลงานวิจัย การหารือและแลกเปลี่ยนมุมมองทั้งในเชิงวิชาการและเชิงนโยบายจากอาจารย์ นักวิจัยของสถาบันฯ ผู้ทรงคุณวุฒิจากภายนอก และผู้เข้าร่วมประชุมที่มาจากหลากหลายสาขาในประเด็นที่เชื่อมโยงกันระหว่างความท้าทายทางด้านประชากรกับวาระการพัฒนาที่ยั่งยืน

ในปีนี้ ได้รับเกียรติจาก ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เอื้อมพร มัชฌิมวงศ์ รองอธิการบดีฝ่ายการคลัง มหาวิทยาลัยมหิดล เป็นประธานกล่าวเปิดการประชุมฯ พร้อมด้วย รองศาสตราจารย์ ดร.เฉลิมพล แจ่มจันทร์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวต้อนรับ จากนั้น ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ ประธานกรรมการแพลตฟอร์ม Youth in Change ปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ “อารยธรรมบนทางสองแพร่ง: ความยั่งยืนกับอนาคตของมนุษยชาติ” (Civilization at the Crossroads: Sustainability & Our Human Future) ณ ห้องประชุมประชาสังคมอุดมพัฒน์ (101) ชั้น 1 สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา และรูปแบบออนไลน์

ในโอกาสนี้ รองศาสตราจารย์ ดร.เฉลิมพล แจ่มจันทร์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล เข้าร่วมเสวนาโต๊ะกลม หัวข้อ “การพัฒนาที่ยั่งยืนกับนโยบายประชากรและสังคม” ร่วมกับ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ชล บุนนาค ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDG Move) คุณพร้อมบุญ พานิชภักดิ์ เลขาธิการมูลนิธิรักษ์ไทย และคุณวรวรรณ พลิคามิน รองเลขาธิการ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)

ในงานประชุมดังกล่าว มีการนำเสนอบทความวิชาการจำนวน 3 ประเด็นหลัก ในมิติที่เกี่ยวข้องกับเรื่องการพัฒนาที่ยั่งยืน ได้แก่ มิติด้านการเกิด เด็ก และครอบครัว มิติด้านสุขภาพ อาหาร และสิ่งแวดล้อม และมิติด้านการย้ายถิ่นของประชากรต่างอารยธรรม ซึ่งประเด็นที่ได้จากการประชุมวันนี้ นำไปสู่ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเพื่อสร้างการพัฒนาที่ยั่งยืนอันเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและประชากรในปัจจุบัน สามารถสรุปได้ดังต่อไปนี้

1.นโยบายด้านประชากรและครอบครัว

  • ควรมีการส่งเสริมการมีบุตรผ่านมาตรการสนับสนุนทางการเงินและสวัสดิการ เช่น เงินอุดหนุนเลี้ยงดูเด็ก การลดหย่อนภาษี รวมถึงการขยายระยะเวลาการลาคลอดและลาเลี้ยงดูบุตร ส่งเสริมการลาของบิดา
  • พัฒนาศูนย์ดูแลเด็กเล็กที่มีคุณภาพและราคาเหมาะสม โดยเฉพาะสำหรับเด็กอายุ 0-2 ปี
  • สร้างสมดุลระหว่างชีวิตการทำงานและครอบครัว (Work-life balance) ผ่านนโยบายการทำงานที่ยืดหยุ่น

2. นโยบายด้านผู้สูงอายุ

  • พัฒนาระบบการดูแลผู้สูงอายุระยะยาว โดยเน้นการดูแลในชุมชน (Community-based care)
  • ส่งเสริมการมีส่วนร่วมในตลาดแรงงานของผู้สูงอายุ ผ่านการปรับปรุงกฎหมายแรงงานและสร้างแรงจูงใจทางภาษี
  • สร้างสภาพแวดล้อมที่เป็นมิตรกับผู้สูงอายุ (Age-friendly environment) ทั้งในด้านที่อยู่อาศัย การคมนาคม และพื้นที่สาธารณะ
  • พัฒนาระบบประกันการดูแลระยะยาว (Long-term care insurance) เพื่อรองรับค่าใช้จ่ายในการดูแลผู้สูงอายุ

3. นโยบายด้านสุขภาพและสาธารณสุข

  • พัฒนาระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้าให้ครอบคลุมมากขึ้น โดยเฉพาะสำหรับผู้สูงอายุ และกลุ่มเปราะบาง
  • ส่งเสริมการป้องกันโรคและการสร้างเสริมสุขภาพ โดยเน้นการลดพฤติกรรมเสี่ยงและการมีกิจกรรมทางกาย
  • พัฒนาระบบเฝ้าระวังและตอบสนองต่อโรคอุบัติใหม่และภัยพิบัติทางธรรมชาติ
  • ส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีในการติดตามสุขภาพและการให้บริการทางการแพทย์ทางไกล (Telemedicine)
  • นโยบายด้านการศึกษาและพัฒนาทักษะแรงงาน
  • ปฏิรูปหลักสูตรการศึกษาให้เน้นทักษะที่จำเป็นในศตวรรษที่ 21 และสอดคล้องกับความต้องการ  ของตลาดแรงงาน
  • ส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตและการพัฒนาทักษะอย่างต่อเนื่อง (Lifelong learning and upskilling)
  • พัฒนาระบบการศึกษาทางเลือก เช่น การเรียนการสอนแบบผสมผสาน (Blended learning) และการเรียนรู้ตามอัธยาศัย
  • สร้างความร่วมมือระหว่างภาคการศึกษาและภาคธุรกิจในการพัฒนาหลักสูตรและฝึกอบรม

5. นโยบายด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม

  • ส่งเสริมการใช้เทคโนโลยี AI และหุ่นยนต์ในการดูแลผู้สูงอายุและเพิ่มประสิทธิภาพในภาคการผลิต
  • พัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลเพื่อเชื่อมโยงบริการสำหรับผู้สูงอายุและครอบครัว
  • สนับสนุนการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมเพื่อรองรับสังคมสูงวัย เช่น เทคโนโลยีสุขภาพ และ assistive technologies

6. นโยบายด้านสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาที่ยั่งยืน

  • ส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดและเทคโนโลยีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
  • พัฒนาระบบขนส่งสาธารณะที่มีประสิทธิภาพและลดการปล่อยมลพิษ
  • ส่งเสริมการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพ
  • พัฒนาเมืองอัจฉริยะ (Smart Cities) ที่ใช้เทคโนโลยีในการบริหารจัดการทรัพยากร อย่างมีประสิทธิภาพ

7. นโยบายด้านการย้ายถิ่นและแรงงานต่างชาติ

  • พัฒนาระบบคัดกรองและจัดการแรงงานต่างชาติที่มีประสิทธิภาพ
  • สร้างแรงจูงใจเพื่อดึงดูดแรงงานทักษะสูงจากต่างประเทศ เช่น การให้วีซ่าพิเศษ สิทธิประโยชน์  ทางภาษี
  • ส่งเสริมการบูรณาการทางสังคมของแรงงานต่างชาติ ผ่านการศึกษาภาษาและวัฒนธรรมไทย
  • พัฒนานโยบาย “Massive Immigration Policy” ที่มีการกระจายอำนาจและการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน

8. นโยบายด้านความเท่าเทียมและการลดความเหลื่อมล้ำ:

  • พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านสาธารณสุขและการศึกษาในพื้นที่ห่างไกล
  • ส่งเสริมการกระจายรายได้ผ่านระบบภาษีและสวัสดิการสังคม
  • สนับสนุนการเข้าถึงเทคโนโลยีดิจิทัลสำหรับทุกกลุ่มประชากร
  • พัฒนานโยบายที่ตอบสนองต่อความต้องการของกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้พิการ ชนกลุ่มน้อย

ทั้งนี้ การนำนโยบายเหล่านี้ไปปฏิบัติ จำเป็นต้องมีการบูรณาการระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ และการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในสังคม เพื่อให้สามารถรับมือกับความท้าทายในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน

สำหรับผู้ที่สนใจสามารถติดตามอ่านบทความวิจัยสั้น (Research brief) จากงานประชุมได้ที่ https://ipsr.mahidol.ac.th/post_research/ipsrconference2024/