ปัญหาหลักกวนใจของคนเป็นสิว คือต่อให้เราจะรักษาสิวที่ขึ้นมาบนใบหน้าจนยุบหรือหายไปแล้ว แต่ ‘รอยสิว’ ก็ยังคงเป็นปัญหาตามติดที่รักษาให้หายได้ยากกว่าสิวเสียอีก คล้ายกับแผลเป็น แถมยังเป็นตัวการที่ทำให้ใบหน้าดูไม่กระจ่างใส หมองคล้ำ ทำให้เราสูญเสียความมั่นใจ หลายคนคงพอทราบกันมาบ้างว่า รอยสิวหลักที่ขึ้นบนใบหน้า แบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ ‘รอยแดง’ และ ‘รอยดำ’ แต่เคยสงสัยกันไหมว่ารอยสิวทั้งสองประเภทนี้ต่างกันอย่างไร? และทราบหรือไม่ว่า การเข้าใจกลไก สาเหตุของการเกิดรอยสิว เพื่อเลือกวิธีการรักษาให้ถูกวิธี มีความเหมาะสมกับสภาพผิว จะช่วยให้ใบหน้ากลับมาเนียนกระจ่างใสได้ไวขึ้นด้วยนะ! บทความนี้จะพาทุกคนไปหาคำตอบถึงข้อแตกต่างของรอยแดงและรอยดำ พร้อมแชร์วิธีรักษารอยสิวให้เห็นผลลัพธ์ชัดเจน ใครอยากกลับมามีใบหน้าเรียบเนียน กระจ่างใส ไร้รอยสิวกวนใจตามมาดูเลย~
รอยสิวประเภทรอยแดง
รอยแดง (PIE PAR post acne erythema หรือ Post – Inflammatory Erythema) (PAR หรือ Post Acne Erythema) เป็นรอยสิวที่เกิดขึ้นหลังจากรักษาสิวหายสนิทแล้ว หรือเกิดขึ้นพร้อมๆ กับในขณะที่เป็นสิว มีลักษณะเป็นจุดๆ หรือริ้วสีแดง ชมพู หรือสีม่วง โดยสาเหตุที่ทำให้เกิดรอยแดง มักจะเกิดจากผิวหน้าบริเวณนั้นๆ อักเสบ หรือสิวอักเสบ สิวที่มีลักษณะเป็นตุ่มนูนแดงขนาดเล็ก ถ้าแตะโดนจะรู้สึกเจ็บ ซึ่งเมื่อผิวหนังของเราเกิดการอักเสบขึ้นมา กลไกและเซลล์ในร่างกายจะเริ่มทำการฟื้นฟู ซ่อมแซมเซลล์เนื้อเยื่อ ลำเลียงเลือดไปยังผิวหนังที่อักเสบอยู่ ทำให้หลอดเลือดที่อยู่ภายใต้ผิวหนังบริเวณนั้นๆ มีกระบวนการขยายตัว จนทำให้รอยสิวกลายเป็นสีแดง หรือสีชมพูขึ้นมานั่นเอง สำหรับรอยสิวประเภทรอยแดงที่เกิดจากการอักเสบของผิวหนัง จะสามารถหายไปได้เองตามธรรมชาติ แต่ต้องอาศัยระยะเวลา ประมาณ 3-4 สัปดาห์ ขึ้นไปจนถึงหลักเดือน ขึ้นอยู่กับวิธีการรักษา และสภาพผิวแต่ละคน
รอยสิวประเภทรอยดำ
รอยดำ (PIH หรือ Post – Inflammatory Hyperpigmentation) โดยส่วนใหญ่เกิดจากผิวหน้าอักเสบ หรือสิวอักเสบเช่นเดียวกับรอยแดง แต่ในขณะที่เกิดสิวอักเสบนั้น ผิวอาจยังมีการสร้างเนื้อเยื่อที่ไม่สมบูรณ์ บอบบาง เกิดการลอก และระคายเคือง ซึ่งจะไปกระตุ้นเมลาโนไซต์ให้ผลิตเมลานินหรือเม็ดสีใน Keratinocytes มากผิดปกติ ทำให้เกิดเป็นรอยดำ หรือสีคล้ำอื่นๆ อย่างสีแทน สีน้ำตาล สีน้ำตาลเข้ม หรือสีเทาขึ้นมานั่นเอง และนอกจากปัญหาสิวอักเสบแล้ว รอยดำยังอาจเกิดจากสาเหตุอื่นๆ ร่วมได้ด้วย เช่น การระคายเคืองจากการใช้มีดโกนหนวด การได้รับแสงยูวีจากแดด ผื่นผิวหนังอักเสบ เป็นต้น
แม้รอยดำจะเกิดขึ้นได้จากสิวอักเสบเช่นเดียวกับรอยแดง แต่รอยดำนั้นแตกต่างจากรอยแดงตรงที่เป็นการเกิดบริเวณชั้นผิวหนังแท้ จึงทำให้การรักษายากและใช้เวลานานกว่ารอยแดงเป็นเท่าตัว ยิ่งหากรักษาไม่ถูกวิธี และปล่อยทิ้งไว้นานอาจจะทำให้กลายเป็นรอยดำที่เด่นชัด และอยู่กับผิวหน้าเราถาวรได้
วิธีรักษารอยสิว กำจัดรอยดำ รอยแดงยังไงให้จางลง
ได้ทราบกันไปแล้วว่า รอยดำและรอยแดงมีสาเหตุการเกิดจากสิวอักเสบ แต่ต่างกันที่รอยดำนั้นเป็นการเกิดที่ผิวหนังชั้นแท้ และได้รับการกระตุ้นจากปัจจัยอื่นๆ ร่วมด้วย จึงหายได้ยากกว่ารอยแดง และต้องอาศัยการรักษาให้ถูกวิธีและให้เหมาะกับสภาพผิว สำหรับวิธีรักษารอยสิวทั้งรอยดำและรอยแดงให้จางลง เพื่อให้ใบหน้าเรียบเนียน กระจ่างใสนั้น สามารถทำตามได้ตามนี้เลย
1. การใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมลดรอยดำ รอยแดง
การใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมลดรอยดำ-รอยแดง เป็นวิธีแรกที่คนส่วนใหญ่ให้ความนิยมในการรักษารอยสิว เพราะให้ผลลัพธ์ชัดเจนและมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังมีผลิตภัณฑ์หลายแบบให้เลือกใช้ ไม่ว่าจะเป็น ยาชนิดครีม เซรั่ม หรือชีตมาส์ก โดยควรทาอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง ทั้งก่อนนอนและตอนเช้า ผลิตภัณฑ์มีคุณสมบัติและสารสกัดที่ช่วยปรับสผิวให้สม่ำเสมอ เรียบเนียน ยับยั้งกระบวนการกระตุ้นเมลานินให้เปลี่ยนสีผิว เช่น Hydroquinone สารเคมีสามารถช่วยยับยั้งกระบวนการเปลี่ยนแปลงสีผิว Vitamin C cream เพิ่มความแข็งแรงให้ผิว ป้องกังการเกิดรอยดำ-รอยแดง Arbutin ที่ช่วยยับยั้ง Tyrosine และ DOPA ในกระบวนการ Oxidation ที่เป็นผลเสียต่อผิว Glycolic Acid ที่ช่วยผลัดเซลล์ผิว เป็นต้น สารสกัดเป็นสิ่งสำคัญในการเลือกผลิตภัณฑ์ และนอกจากพิจารณาจากสารสกัดแล้ว อย่าลืมเลือกผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการทดสอบจากแพทย์ผิวหนัง ไม่มีส่วนผสมของสารที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองผิว เป้องกันพื่อไม่ให้เกิดอาการแพ้ แล้วสิวขึ้นมากกว่าเดิม
2. การทาครีมกันแดดเป็นประจำ
หนึ่งในวิธีที่ช่วยลดรอยสิวอย่างเป็นธรรมชาติ คือการทาครีมกันแดด เพราะสาเหตุหนึ่งของการเกิดรอยดำ-รอยแดง ก็คือแสง UV จากแดดและแสงหน้าจอต่างๆ โดยควรเลือกผลิตภัณฑ์ครีมกันแดดที่มีที่มีค่า SPF 50 และ PA ++ ขึ้นไป และต้องไม่มีสารที่ก่อให้เกิดการแพ้ ไม่ก่อให้เกิดการอุดตันรูขุมขน ไม่เช่นนั้นแสงรังสี UV อาจเข้ามาสู่ชั้นผิวหนัง และอาจทำให้รอยดำ-รอยแดง เด่นชัดขึ้นมากกว่าเดิมได้นั่นเอง
3. การทำเลเซอร์
ด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่มีการพัฒนามากยิ่งขึ้น ทำให้ปัจจุบันเราสามารถรักษารอยสิวต่างๆ ได้ดีมากขึ้นผ่านการทำเลเซอร์ ไม่ว่าจะเป็นรอยดำ รอยแดง หรือแม้กระทั่งหลุมสิว โดยมีความปลอดภัยและไม่เกิดความรู้สึกเจ็บมากนัก สามารถรักษารอยสิวต่างๆ ได้อย่างตรงจุด และให้ผลลัพธ์ที่ค่อนข้างรวดเร็ว ด้วยตัวแสงเลเซอร์สามารถเข้าถึงชั้นผิวหนังได้อย่างล้ำลึก กระตุ้นให้เซลล์ผิวเกิดใหม่ เพื่อมาทดแทนรอยสิวเดิม ช่วยเสริมความแข็งแรงให้ชั้นผิว แถมยังมีระยะการพักฟื้นไม่นาน หัตถการที่สามารถช่วยรักษารอยสิว เช่น การทำ Pico Laser เทคโนโลยีเลเซอร์ที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน สามารถจัดการกับปัญหาผิวให้ผิวเรียบเนียนขึ้น และแก้ปัญหาเม็ดสีไม่สม่ำเสมอได้อย่างแม่นยำ
ทั้งนี้ในการทำเลเซอร์เพื่อลดลดรอยดำจากสิวและหลุมสิว ควรปรึกษากับแพทย์ที่มีความรู้เฉพาะด้านผิวหนัง และมากประสบการณ์ เพื่อให้แพทย์วิเคราะห์ผิวหน้าของเราว่าเหมาะกับการรักษาด้วยเลเซอร์หรือไม่ รวมถึงช่วยวางแผนแนวทางการรักษารอยสิวร่วมกับวิธีอื่นๆ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ออกมามีประสิทธิภาพและตรงจุดมากที่สุด
การหลีกเลี่ยงไม่ให้เป็นสิว เป็นเรื่องที่ยาก เพราะมีปัจจัยหลายอย่างที่เราไม่สามารถควบคุมได้ และเมื่อเป็นสิวแล้ว ก็มักจะต้องเผชิญกับปัญหารอยสิว ทั้งรอยแดง และรอยดำตามมา
เนื่องจากผิวหนังที่เกิดสิวอักเสบถูกกระตุ้น กระบวนการในชั้นผิวผิดปกิ จนทำให้เม็ดสีเปลี่ยนแปลง รอยแดงส่วนใหญ่จะค่อยๆ หายไปเองได้ตามะรรมชาติ เพราะเกิดในผิวหนังชั้นตื้น แต่รอยดำที่เกิดในชั้นผิวหนังแท้ อาจต้องใช้เวลาที่นานและต้องมีรักษาอย่างล้ำลึก และทำอย่างสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมช่วยลดรอยดำ-รอยแดง การทาครีมกันแดดเป็นประจำ หรืออาจใช้วิธีการรักษาด้วยการทำเลเซอร์ อย่างการทำ Pico Laser เทคโนโลยีที่จะช่วยให้รอยดำ-รอยแดง จากสิวจางลงอย่างเห็นได้ชัด ให้ผลลัพธ์ที่ไว และมั่นใจในเรื่องความปลอดภัยได้ ที่ DSK Clinic คลินิกรักษาสิวดูแลผิวหนังครบวงจร เรามีโปรแกรมทำ Pico Laser ลดรอยดำ รอยแดง ไม่ว่าเราจะมีสภาพผิวแบบไหน ก็พร้อมให้คำปรึกษา วางแผนการรักษาเฉพาะบุคคล เพื่อให้ผิวของทุกคนกลับมาเนียน สวย กระจ่างใส เรียบเนียนอย่างเป็นธรรมชาติ
ติดต่อสอบถาม | จองคิว DSK Clinic
โทร: สาขา Stadium One 082-162-5359
สาขารัชดา 081-141-9255
สาขาบางนา 063-090-7888
สาขานครปฐม 063-079-9000
ไลน์: @dskinclinic