เช็กสภาพรถยนต์ เช็กสภาพรถยนต์ด้วยตนเอง

How to เช็กสภาพรถยนต์ด้วยตนเอง ดูแลรักษารถยังไงให้รถมีประสิทธิภาพดีอยู่เสมอ

รถยนต์ถือเป็นหนึ่งในทรัพย์สินที่มีมูลค่าสูง มีความสำคัญในชีวิตประจำวัน เพราะต้องใช้เป็นยานพาหนะในการขับขี่ในการเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ รวมถึงอาจมีผลต่อการทำธุรกรรมในอนาคตด้วย สำหรับคนมีรถยนต์ที่อยากให้รถยนต์อยู่มีประสิทธิภาพคงทน ใช้งานได้ดีเหมือนตอนซื้อมาใหม่ๆ และมูลค่าไม่ตกง่ายๆ จึงต้องหมั่นตรวจเช็กสภาพและดูแลรถยนต์ให้ดีอยู่เสมอ แต่การนำรถยนต์ไปตรวจเช็กที่ศูนย์บริการ ก็อาจตามมาด้วยค่าใช้จ่ายที่สูงลิ่ว และเสียเวลาในการรอคิว วันนี้เราเลยมี 7 วิธีเช็กสภาพรถยนต์ด้วยตนเอง ให้ชัวร์ว่ารถยนต์สามารถใข้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ…

Home / PR NEWS / How to เช็กสภาพรถยนต์ด้วยตนเอง ดูแลรักษารถยังไงให้รถมีประสิทธิภาพดีอยู่เสมอ

รถยนต์ถือเป็นหนึ่งในทรัพย์สินที่มีมูลค่าสูง มีความสำคัญในชีวิตประจำวัน เพราะต้องใช้เป็นยานพาหนะในการขับขี่ในการเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ รวมถึงอาจมีผลต่อการทำธุรกรรมในอนาคตด้วย สำหรับคนมีรถยนต์ที่อยากให้รถยนต์อยู่มีประสิทธิภาพคงทน ใช้งานได้ดีเหมือนตอนซื้อมาใหม่ๆ และมูลค่าไม่ตกง่ายๆ จึงต้องหมั่นตรวจเช็กสภาพและดูแลรถยนต์ให้ดีอยู่เสมอ แต่การนำรถยนต์ไปตรวจเช็กที่ศูนย์บริการ ก็อาจตามมาด้วยค่าใช้จ่ายที่สูงลิ่ว และเสียเวลาในการรอคิว วันนี้เราเลยมี 7 วิธีเช็กสภาพรถยนต์ด้วยตนเอง ให้ชัวร์ว่ารถยนต์สามารถใข้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ไว้เป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับคนมีรถยนต์ที่อยากเซฟค่าใช้จ่าย และเซฟเวลากัน 

1. ตรวจเช็กแบตเตอรี่ 

แบตเตอรี่เป็นหัวใจหลักของการสตาร์ตเครื่องยนต์ ก่อนใช้งานรถทุกๆ ครั้ง เราควรตรวจดูสภาพของแบตเตอรี่ว่าอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์หรือไม่ เช็กคราบสิ่งสกปรก คราบขี้เกลือที่อยู่บริเวณขั้วแบตเตอรี่ หากพบให้ใช้ผ้าสะอาดเช็ดออกให้หมดจด เช็กน้ำเกลือและน้ำกลั่นให้อยู่ในระดับที่กำหนด เช็กความแน่นของขั้วแบตและฉนวนหุ้มสาย นอกจากนี้ หากใครที่มีเครื่องวัดประจุไฟฟ้าติดอยู่ที่บ้าน แนะนำให้นำมาเช็กพลังงานของแบตเตอรี่ให้อยู่ในสภาพที่พร้อมสำหรับการเดินทางเสมอด้วย 

2. ตรวจเช็กล้อและยางรถยนต์

รถยนต์ของเราสามารถเคลื่อนที่ได้อย่างสมูตก็ด้วยล้อและยางรถยนต์ ยางรถที่ดี พร้อมใช้งาน จึงต้องเปลี่ยนตามอายุการใช้งานเสมอ ควรเติมลมยางให้ได้มาตรฐานตามที่คู่มือรถยนต์แต่ละรุ่นกำหนด มีลักษณะไม่แข็ง และอ่อนนิ่มจนเกินไป เพราะอาจเสี่ยงต่อการระเบิด หรือยางแตกระหว่างทำการขับขี่ได้ ที่สำคัญในส่วนของล้อที่ทำมาจากโลหะจะต้องมีสภาพสมบูรณ์ ไม่เบี้ยว และหากพบว่ามีรอยแตกควรรีบเปลี่ยนทันที 

3. ตรวจเช็กระบบเบรกและน้ำมันเบรก 

ระบบเบรกและน้ำมันเบรกก็เป็นหัวใจสำคัญ ที่แสดงถึงประสิทธิภาพการใช้งานของรถยนต์ 

ควรเปลี่ยนผ้าเบรกทุก 50,000 – 80,000 กิโลเมตรสำหรับรถยนต์เกียร์ธรรมดา ถ้าเป็นรถยนต์เกียร์อัตโนมัติควรเปลี่ยนทุก 50,000 กิโลเมตร ส่วนน้ำมันเบรก ควรเปลี่ยนทุก 40,000 กิโลเมตร โดยน้ำมันเบรกควรมีสีที่ปกติ ไม่ขุ่น และไม่มีสีดำ ในส่วนของระบบเบรกภาพรวม ให้เราทดสอบด้วยการดับเครื่องยนต์แล้วเหยียบเบรกจนสุดประมาณ 5 ครั้งแล้วเหยียบเบรกค้างไว้ จากนั้นจึงสตาร์ตเครื่องยนต์ แบบไม่ปล่อยเบรก จากนั้นดับเครื่องและรอประมาณ 30 วินาที ความสูงของเบรกจะต้องไม่เปลี่ยนแปลงจึงจะถือว่าเบรกใช้งานได้ดี 

4. ตรวจเช็กน้ำมันเครื่อง

น้ำมันเครื่องที่เป็นส่วนประกอบสำคัญที่ทำให้รถของเราขับเคลื่อนไปได้ โดยเป็นสารหล่อลื่นที่จะช่วยยืดการใช้งานของเครื่องยนต์ ลดแรงเสียดทาน เราจึงควรทำการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องและไส้กรองอย่างสม่ำเสมอ โดยจุดตรวจสอบน้ำมันเครื่อง จะอยู่หลังฝากระโปรงรถ วิธีสังเกต คือจะมีก้านพลาสติกเสียบอยู่ ให้ดึงออกมา แล้วเช็กว่าจุดของน้ำมันเครื่องอยู่ในระดับที่เหมาะสมหรือไม่ หากต่ำเกินไป แนะนำให้ทำการเติมใหม่ หรือเปลี่ยนถ่ายด้วยตนเอง หากมีอุปกรณ์ที่พร้อม  

5. ตรวจเช็กระบบไฟ 

ระบบไฟนอกจากจะให้ความสว่าง ในยามที่ต้องขับขี่ในเวลากลางคืนแล้ว ยังทำหน้าที่เป็นสัญญาณไฟสำคัญที่ทำให้การขับขี่มีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ไฟหน้า ไฟท้าย ไฟตัดหมอก ไฟเลี้ยว หรือไฟฉุกเฉิน แนะนำให้คอยเช็กว่าไฟทุกๆ ดวงที่มีในรถยนต์ของเรายังใช้การได้ดีหรือไม่ ปิด-เปิดเพื่อเช็กความสว่าง สามารถควบคุมได้อย่างปกติ รวมถึงไม่ควรมีจุดที่แตกด้วย  

6. ตรวจเช็กหม้อน้ำและระบบระบายความร้อน  

เพราะรถยนต์ประกอบด้วยเครื่องยนต์ และมีการเผาผลาญพลังงานเพื่อทำให้ตัวรถขับเคลื่อนไปได้ ระบบระบายความร้อนในรถยนต์จึงมีความสำคัญไม่แพ้กัน โดยในขณะที่ระบบเครื่องยนต์ทำงาน จะมีความร้อนสะสมอยู่เป็นจำนวนมาก หากปล่อยให้อุณภูมิสูงจนเกินไป รถยนต์อาจขัดข้อง หรือดับกะทันหันขณะชับขี่ได้ ให้เราเช็กการทำงานของพัดลม หม้อน้ำ ท่อซีลที่อยู่ในรถยนต์ทั้งหมดจะต้องมีรอยรั่วใดๆ นอกจากนี้หากเราจอดรถยนต์ทิ้งไว้นานๆ ในที่ที่มีอากาศร้อน ไม่ควรสตาร์ตเครื่องยนต์ แล้วทำการเปิดแอร์ทันที ให้ปล่อยทิ้งไว้สักพัก 5-10 นาที เพื่อให้เครื่องยนต์ค่อยๆ เริ่มทำงาน มิฉะนั้นระบบระบายความร้อนอาจพังได้นั่้นเอง 

7. ตรวจเช็กไส้กรองอากาศ 

เครื่องกรองอากาศในรถยนต์ เป็นสิ่งที่ช่วยดักจับเศษฝุ่นละออง สิ่งสกปรกต่างๆ ที่จะเข้าไปในเครื่องยนต์ที่เป็นสาเหตุทำให้รถยนต์เกิดอาการสึกหรอ เกิดควันดำ และใช้งานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ โดยวิธีในการตรวจเช็กไส้กรองอากาศให้มีสภาพสมบูรณ์ ก็มีขั้นตอนง่ายๆ ให้เราถอดไส้กรองลูกนอกออกมา หากมีสิ่งกสปรก ให้เราทำการเป่าลมออกให้หมดจด จากนั้นให้เช็กกระดาษกรองโดยการส่องกับแสง ซึ่งแสงจะต้องไม่สามารถลอดผ่านได้ เพราะหากลอดได้แสดวงว่าไส้กรองเกิดการทะลุแล้ว ให้ทำการเปลี่ยนไส้กรองอากาศใหม่ทั้งลูกในและลูกนอก

เป็นอย่างไรกันบ้างกับ 7 วิธีเช็กสภาพรถยนต์เบื้องต้นด้วยตนเองที่เรานำมาฝากกัน อาจจะต้องตรวจเช็กหลายจุด และใช้ความรอบคอบสักหน่อย แต่ก็ช่วยเซฟค่าใช้จ่าย และประหยัดเวลากว่าการเดินทางออกไปตรวจเช็กศูนย์บริการข้างนอกได้ในระดับหนึ่ง เพราะรถยนต์ก็เหมือนกับร่างกายมนุษย์ที่เมื่อใช้งานไปนานๆ ก็อาจเกิดการเปลี่ยนแปลง พลังงานลดลง หรือเสียหายได้ จึงควรหมั่นตรวจเช็กสภาพรถยนต์อย่างสม่ำเสมอ เพื่อทำให้รถยนต์สามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ มีความสมูตในการขับขี่ และไม่สึกหรอง่ายๆ ซึ่งนอกจากรถยนต์จะใช้งานได้ดีแล้ว มูลค่าของรถยนต์เราอาจไม่ตกลงมากด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ต่อการทำธุรกรรมต่างๆ ในอนาคตที่ไม่แน่นอน เช่นการนำรถเข้าไฟแนนซ์ผ่านธนาคาร หรือบริษัทรับจํานํารถ หรือ Car pledge รวมไปถึงการขายรถยนต์ต่อด้วยนั่นเอง