หากจะพูดถึงโลกของการตลาดยุคปัจจุบันแล้วล่ะก็ หนึ่งในหัวใจสำคัญที่จะทำให้ธุรกิจเดินทางไปสู่ความสำเร็จคือเรื่องของกลยุทธ์ทางการตลาดที่ดี อย่างไรก็ตามการตลาดเองนั้นมีอยู่หลายแขนง ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ อีกทั้งในตอนนี้ธุรกิจส่วนใหญ่เริ่มที่จะหันมาทำการตลาดแบบออนไลน์มากกว่าครึ่ง ส่วนที่เหลือคือช่องทางการตลาดแบบออฟไลน์ที่อย่างไรเสียก็ยังคงต้องมีไว้เพื่อคงความน่าเชื่อถือของแบรนด์ โดยในบทความนี้จะมาโฟกัสกันที่การตลาดออนไลน์ซึ่งประกอบไปด้วยเครื่องมือที่หลากหลาย หนึ่งในนั้นคือการทำ SEO หรือ Search Engine Optimization ซึ่งถือว่าเป็นทางเลือกที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อย แต่จะมีกฎหรือหลักเกณฑ์อะไรบ้างที่เจ้าของแบรนด์ควรทราบ ตามมาหาคำตอบกันต่อได้จากข้อมูลด้านล่างนี้เลย
เปลี่ยนการรับรู้ให้กลายเป็นยอดขาย
สิ่งสำคัญประการแรกของการตัดสินใจว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญเพื่อทำ SEO นอกจากจะเข้ามาช่วยพัฒนาหน้าเว็บไซต์ให้ไต่อันดับการค้นหามายังหน้าแรก ช่วยสร้างชื่อเสียงให้กลายเป็นที่รู้จักบนโลกออนไลน์แล้ว ในอีกหนึ่งมิติของการทำ SEO นั้นยังสามารถพัฒนากลายไปเป็นยอดขายได้ในอนาคตได้อีกด้วย เรียกได้ว่าลงทุน 1 ครั้ง ได้ประโยชน์กลับมาถึง 2 ต่อ สามารถใช้เพื่อสร้างการรับรู้ อีกทั้งยังพัฒนากลายไปเป็นยอดขายเพื่อให้เกิดกำไรได้อีกทอดหนึ่งนั่นเอง
ผู้ว่าจ้างสามารถประเมินผลงานได้โดยคร่าว
ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญที่รับทำ SEO แล้วนั้น สิ่งสำคัญที่เจ้าของธุรกิจควรทราบก่อนการตัดสินใจเลยนั่นก็คือความสามารถในการประเมินผลการทำงานโดยคร่าวๆ ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญที่รับทำ SEO และดูแลอันดับการค้นหาให้แก่ลูกค้านั้น แน่นอนว่าย่อมต้องมาพร้อมกับประสบการณ์ ดังนั้นความสามารถในการประเมินผลการทำงานโดยคร่าวๆ และแสดงให้ลูกค้าเห็นถึงทิศทางที่จะไป เมื่อประเมินผลลัพธ์ที่ได้จากการทำงานโดยคร่าวและออกมาเป็นเช่นนี้แล้ว ผู้รับทำ SEO มีแผนการดำเนินงานเพื่อใช้แนะนำให้ลูกค้าในลำดับถัดไปได้อย่างไรบ้าง
ทำได้ภายใต้งบประมาณจำกัด
ในท้ายที่สุดแล้ว นอกจากการตัดสินใจว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญให้ทำ SEO จะเป็นการซื้อประสบการณ์จากผู้เชี่ยวชาญที่มีโอกาสร่วมงานในอุตสาหกรรมที่หลากหลายก่อนหน้านี้, ว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญที่รับทำ SEO เพื่อโอกาสในการเปลี่ยนจาก Awareness ให้กลายเป็นยอดขาย อีกทั้งข้อดีอย่างที่เห็นได้ชัดของการเลือกทำการตลาดด้วย SEO นั่นก็คือใช้งบประมาณในการลงทุนที่ค่อนข้างต่ำ กล่าวง่ายๆ คือการพัฒนาอันดับแบบออร์แกนิกที่อาจจะใช้เวลานานกว่าการตลาดแบบ SEM (Search Engine Marketing) เสียหน่อย แต่เมื่อติดอันดับการค้นหาแล้วรับรองว่าจะใช้เวลาอยู่บนแรงก์นั้นสักพักใหญ่ๆ เลยทีเดียว
ท้ายที่สุดแล้วการตัดสินใจว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญที่รับทำ SEO นั้นคือการร่วมงานที่ใช้ระยะเวลานานอยู่พอสมควร ดังนั้นการทำสัญญาตกลงเพื่อว่าจ้างระหว่างกันจึงเป็นสิ่งจำเป็น อย่างไรก็ตามเราในฐานะผู้ว่าจ้างและอยู่ในฐานะลูกค้าก็ควรสอบถามข้อมูลเผื่อเอาไว้ในกรณีที่บริษัทผู้เชี่ยวชาญที่รับทำ SEO ไม่สามารถดำเนินงานได้ตรงตามเป้าหมายที่ตั้งหรือเคยพูดคุยกันไว้ บริษัทผู้ว่าจ้างจะสามารถยกเลิกสัญญากลางคันได้หรือไม่ อย่างไร แต่ทั้งนี้ตัวผู้เขียนเองแนะนำว่าถ้าหากตัวเจ้าของธุรกิจเองต้องการบอกเลิกสัญญา ควรบอกเลิกหลังจากดำเนินงานไปแล้ว 3 เดือนเป็นต้นไป เพื่อความยุติธรรมแก่บริษัทผู้รับทำ SEO และเพื่อให้เป็นไปตามหลักการดำเนินงานของ SEO เองที่ต้องใช้เวลาในการพัฒนาอันดับอยู่ที่ 3 เดือนเป็นต้นไปนั่นเอง