ภารกิจสำคัญของ “มูลนิธิเอสซีจี” คือการให้ทุนการศึกษาแก่เยาวชนซึ่งได้ดำเนินการไปแล้วกว่าแสนทุนตลอด 50 กว่าปีนับจากที่เริ่มก่อตั้งมูลนิธิฯ จากการติดตามผลช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา พบว่า ด้วยสภาพปัญหาทางเศรษฐกิจและสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้การเรียนต้องหยุดชะงัก เด็กหลุดออกจากระบบการศึกษา รวมถึงปัญหาการว่างงาน มูลนิธิฯ ตระหนักถึงปัญหาและอุปสรรคดังกล่าว จึงได้ปรับเปลี่ยนแนวทางการให้ทุนการศึกษา ด้วยการเสริมทักษะเพิ่มเติม เพื่อให้เยาวชน สามารถอยู่รอดได้ในโลกการทำงานต่อไป กลายเป็นที่มาของโครงการ Learn to Earn เรียนรู้เพื่ออยู่รอด ที่ให้ความสำคัญกับทักษะแห่งการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 หรือ Power Skill ที่นำไปประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมในแต่ละสถานการณ์ เพื่อการอยู่รอดในโลกปัจจุบัน โดยที่ผ่านมา มูลนิธิฯ ได้จัดกิจกรรมในหลากหลายรูปแบบ เพื่อสื่อสารไปถึงเยาวชน Gen Z ให้ได้มากที่สุด อาทิ การร่วมมือกับ GMMTV จัดทำรายการออนไลน์ Young Survivors รุ่นนี้…ต้องรอด” โดยนำทักษะแห่งยุคมาใช้กับภารกิจต่างๆ เพื่อแข่งขันหาผู้ชนะแต่ละตอน การร่วมมือกับผู้นำแนวคิดหรือ Influencers ขวัญใจวัยทีน ในการร่วมกันถ่ายทอดแนวคิดและทักษะที่ใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน เพื่อสร้างการตระหนักรู้และสร้างกำลังใจให้กับเยาวชนและผู้ชมรายการ รวมถึงล่าสุด การจัดงาน “Young Survivors LEVEL UP” ที่ได้เปิดเวทีให้นักเรียนทุนมูลนิธิเอสซีจี โดยมีตัวแทนจาก วิทยาลัยเทคนิคดุสิต และเหล่า Gen Z จากทางบ้าน มาร่วมงาน รวมถึงได้มีโอกาสใช้ความสามารถและทักษะที่มีในการร่วมแก้ปัญหาจากโจทย์ที่ได้รับ
นายภูวดล กิจสุบรรณ หนึ่งในนักเรียนทุนของมูลนิธิเอสซีจี ปัจจุบันศึกษาอยู่ระดับชั้นปวส.2 สาขาช่างก่อสร้าง กล่าวถึงงาน “Young Survivors LEVEL UP” ที่ผ่านมา ว่า ตนเองได้มีโอกาสไปร่วมงาน และชอบมาก โดยเฉพาะคลาส “โตไปไม่ไร้เพื่อน” ที่ได้ความรู้ดีมากๆ ได้รู้ว่าการรับฟัง การพูด จะทำให้ตนเองและเพื่อนเข้าใจกันมากขึ้น และสิ่งที่ได้เรียนรู้ครั้งนี้ ยังทำให้นึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ที่เคยทะเลาะกับเพื่อนในช่วงวัยเด็กว่า หากในวันนั้นตนเปิดใจรับฟังเพื่อนสักนิดก็คงไม่ทะเลาะกัน ซึ่งสิ่งที่ได้รับจากการเข้าร่วมในโครงการนี้ ตนเองมองว่าเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ สามารถนำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้จริง และตนเองยังตั้งใจจะนำคลิปที่ถ่ายไว้มาเผยแพร่ทางยูทูปเพื่อเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆ คนอื่นอีกด้วย
“สำหรับการเลือกเรียนสาขานี้ เพราะมองว่าเป็นสาขาที่จบแล้วมีความมั่นคงในเรื่องการงาน นอกจากนี้ก็เป็นเพราะมีความชอบและสนใจเรื่องงานช่างมาตั้งแต่ตอนเป็นเด็กแล้ว จึงเลือกเรียนในสาขานี้” นายภูวดลกล่าว
ด้านนางสาวเอมีด้า ปาทาน นักศึกษาปวส.2 สาขาช่างก่อสร้าง กล่าวถึงแคมเปญ Learn to Earn นี้ว่า เป็นแนวคิดที่ดีมากๆ เพราะสามารถนำทักษะมาใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน อย่างตัวเองที่เรียนสาขาก่อสร้าง ตอนแรกทางครอบครัวก็คัดค้านเพราะเห็นว่าเป็นผู้หญิง แต่ก็ได้ใช้เหตุผลมาอธิบายให้ที่บ้านเข้าใจว่า สาขาที่เรียนนี้ มีงานรองรับที่หลากหลาย ทั้งงานด้านออกแบบ งานควบคุม และอื่นๆ เมื่อจบแล้วยังสามารถเลือกเรียนต่อยอดได้อีกหลายสาขา การที่ตัดสินใจเลือกเรียนสาขานี้เพราะตนเชื่อว่าหากทำงานหนักแล้วย่อมจะได้รับผลตอบแทนสูง
กับการได้มีโอกาสเข้าร่วมงาน “Young Survivors LEVEL UP” นั้น นางสาวเอมีด้ากล่าวว่า ตนเองสนุกมาก ชอบคลาส “โตไปไม่ไร้เพื่อน” ของป๋าเต็ด ยุทธนา เป็นพิเศษ เพราะได้แง่คิดและมุมมองในการเข้าสังคมที่จะต้องพบปะเจอคนหลากหลาย เราจึงต้องเปิดใจยอมรับความแตกต่างของแต่ละคนที่ต้องพบเจอในแต่ละวัน นอกจากนี้ การรับฟังผู้อื่นก็เป็นสิ่งสำคัญเพราะจะทำให้เรามีความเข้าใจเขามากขึ้น และช่วยลดข้อขัดแย้งได้มากขึ้นด้วย
“แคมเปญ Learn to Earn นี้ ได้สอนให้ได้เรียนรู้ในสิ่งที่เอามาใช้ให้เป็นประโยชน์ในชีวิตได้จริงๆ เหมือนว่าสิ่งที่วิทยากรนำมาพูดในคลาสนั้น ได้คัดมาแล้วว่าเป็นสิ่งที่พวกเราได้พบเจอกันบ่อยๆ ในชีวิตประจำวัน เราก็ได้เรียนรู้ว่าหากต้องเจอสถานการณ์แบบนั้น จะต้องทำอย่างไร หรืออย่างเรื่องของโลกดิจิทัลที่เข้ากับยุคสมัยปัจจุบันมาก เราต้องเรียนรู้ให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และก็อยากฝากถึงเพื่อนๆ ที่ไม่ได้อยู่ในโครงการนี้ ให้รู้จักกล้าแสดงออก กล้าที่จะทำ เพื่อที่จะทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี เช่น หากเราไม่เข้าใจในบทเรียน เพียงแค่เรากล้าที่จะยกมือถามครู เราก็จะได้คำตอบในสิ่งที่เราสงสัย” นางสาวเอมีด้ากล่าว
นางสาวสุภาวดี รัตนโสภา นักศึกษาระดับชั้นปวส.2 สาขาช่างก่อสร้าง กล่าวว่า สิ่งที่ได้รับจากการไปร่วมงาน “Young Survivors LEVEL UP” คือแง่คิดที่สามารถนำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้เป็นอย่างดีไม่ว่าจะเรื่องการปรับตัว หรือการทำความเข้าใจคนอื่น การรับฟังความเห็นของคนอื่น เพราะคนเรามักจะมีทัศนคติความคิดหรือความเชื่อที่ต่างกัน ยิ่งเราต้องพบเจอคนจำนวนมาก ก็จะยิ่งพบว่ามีความแตกต่างที่มากขึ้น หากเราเปิดใจยอมรับฟังคนอื่น เราก็จะเข้าใจพวกเขา และลดปัญหาความขัดแย้งที่อาจจะมีขึ้นให้ลดน้อยลงหรือไม่มีเลย ซึ่งความรู้และแง่คิดที่ได้รับจากการเข้าร่วมงานวันนี้ จะช่วยทำให้ตัวเราเองพร้อมเมื่อต้องพบกับความหลากหลายที่ต้องเผชิญในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นความหลากหลายของคน ความคิด และอื่นๆ หากเราเข้าใจในความแตกต่างนั้น เราก็จะปรับตัวให้เข้ากับคนอื่นได้ง่ายขึ้น และอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุขมากขึ้น
สำหรับการเป็นนักเรียนทุนของมูลนิธิเอสซีจีนั้น นางสาวสุภาวดีกล่าวว่าตนเองมีความฝันตั้งแต่ยังเป็นเด็กว่า อยากจะสร้างบ้านเป็นของตัวเองให้ได้ในวันหนึ่งข้างหน้า จึงตัดสินใจเลือกเรียนสาขาช่างก่อสร้าง ซึ่งในตอนแรกที่ตัดสินใจเลือกเรียนทางครอบครัวก็มีทักท้วงอยู่บ้าง เพราะเป็นห่วงว่าเป็นผู้หญิง แต่ตนเองก็ได้ใช้เหตุผลในการอธิบาย เมื่อครอบครัวเข้าใจและมองเห็นถึงความตั้งใจที่แท้จริงของตนเอง จึงยอมรับในเหตุผลและยอมให้เรียนในสาขานี้ ซึ่งตนเองตั้งใจไว้ว่าเมื่อเรียนจบระดับปวส.แล้ว จะเรียนต่อยอดให้จบปริญญาตรีก่อนแล้วจึงค่อยหางานทำ
ด้านนางสาวสุวิมล จิวาลักษณ์ กรรมการและผู้จัดการมูลนิธิเอสซีจี กล่าวเสริมว่า มูลนิธิเอสซีจี มุ่งมั่นที่จะทำกิจกรรมตามแนวคิด Learn to Earn อย่างต่อเนื่อง เพื่อเสริมความรู้และทักษะแห่งการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ที่มีความจำเป็นต่อการใช้ชีวิตและการทำงานในปัจจุบันและอนาคตของคนทุก Gen กิจกรรม “Young Survivors LEVEL UP” ที่จัดขึ้น เพื่อเปิดโอกาสให้เป็นอีกช่องทางหนึ่งให้น้องๆ Gen Z ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักที่มาร่วมงาน ได้มีโอกาสเรียนรู้และนำสิ่งที่ได้เรียนรู้นั้น ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อการใช้ชีวิตและการทำงาน เพื่อจะได้ “อยู่รอด” ได้ในสังคมต่อไป
ติดตามข้อมูลข่าวสารของมูลนิธิเอสซีจีเพิ่มเติมได้ที่ https://www.scgfoundation.org/ และที่เฟซบุ๊ก https://www.facebook.com/LEARNtoEARNbySCGFoundation
LearntoEarn #เรียนรู้เพื่ออยู่รอด #รุ่นนี้ต้องรอด #มูลนิธิเอสซีจี