เมื่อวันอาทิตย์ที่ 20 มีนาคม ที่ผ่านมา ประวัติศาสตร์หน้าใหม่ได้จารึกชื่อคนไทยคนแรกในประวัติศาสตร์ที่คว้าชัยชนะในการแข่งขันรถจักรยานยนต์ทางเรียบชิงแชมป์โลก จากผลงานของ “ก้อง” สมเกียรติ จันทรา นักบิดวัย 23 ปี จากโครงการ “ฮอนด้า เรซ ทู เดอะ ดรีม” ที่ควบรถแข่งคู่ใจหมายเลข 35 เข้าป้ายเป็นคันแรก และทำเวลาต่อรอบได้เร็วสุด ในการแข่งขันรุ่น โมโตทู ที่ประเทศอินโดนีเซีย รายการ อินโดนีเซียน กรังด์ปรีซ์ ที่สนาม เปอร์ตามินา มันดาลิกา เซอร์กิต ในขณะที่นักบิดชาวไทยยังมีอาการบาดเจ็บที่นิ้วก้อยมือขวาแตกจนต้องดามเหล็ก และต้องใช้ถุงมือที่ปรับแต่งพิเศษแบบเฉพาะกิจ หลังได้รับการผ่าตัดด่วน ที่ประเทศสเปน โดยเจ้าตัวทำเวลาเร็วสุดผ่านจากรอบควอลิฟาย 1 เป็นคันแรก ก่อนจะคว้ากริดสตาร์ทอันดับที่ 4 ในรอบควอลิฟาย 2 มาครอง
จากนั้น สมเกียรติ ใช้ทักษะที่ยอดเยี่ยมควบคุมรถแข่งได้ดีตั้งแต่ออกตัว ขึ้นนำได้ตั้งแต่โค้งแรก และรักษามาตรฐานการขี่ของตัวเองได้ดีอย่างต่อเนื่อง แม้บรรดาคู่แข่งระดับพระกาฬที่ถูกยกเป็นเต็งแชมป์อย่าง แซม โลว์ส อดีตแชมป์โลกชาวอังกฤษ, เจค ดิ๊กสัน มือบิดไวด์การ์ดโมโตจีพีจากสหราชอาณาจักร รวมถึงดาวรุ่งฝีมือดี เชเลสติโน วิเอ็ตติ ชาวอิตาเลียน แชมป์สนามแรก และ ออกุสโต้ เฟร์นันเดซ นักบิดจากทีมแชมป์โลกปีที่ผ่านมา ไล่กดดันอย่างหนักก็ตาม
สมเกียรติ มีความเร็วที่ดีเหนือใคร ด้วยการกดเวลาต่อรอบเร็วที่สุดได้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ค่อยๆ ทิ้งห่างคู่แข่งออกไป ขณะที่แฟนชาวไทยลุ้นอย่างหนัก เจ้าของฉายา “คิงคองก้อง” ก็บิดคันเร่งพารถแข่งคู่ใจเข้าป้ายเป็นคันแรกได้แบบม้วนเดียวจบ ทิ้งห่างอันดับ 2 อย่าง วิเอ็ตติ ถึง 3.230 วินาที คว้าชัยชนะครั้งประวัติศาสตร์มาครองได้อย่างยิ่งใหญ่ นำธงชาติไทยไปโบกสะบัดอวดสายตาชาวโลกอย่างภาคภูมิใจ
สมเกียรติ กลายเป็น “นักกีฬาชาวไทย” คนแรกในประวัติศาสตร์ที่คว้าชัยชนะในการแข่งขันระดับ “เวิลด์ กรังด์ปรีซ์” รุ่นโมโตทู และจารึกว่าเขาเป็น “นักกีฬาจากเซาท์อิสต์เอเชีย” คนแรกที่ทำได้ด้วยเช่นกัน ชัยชนะครั้งนี้จึงมีความหมายอย่างยิ่งต่อวงการกีฬาของไทยและเอเชีย
เพลงชาติไทยที่ดังกระหึ่มสนาม เปอร์ตามิน่า มันดาลิกา เซอร์กิต บ่งบอกว่า “นักกีฬาชาวไทย” มีความสามารถไม่แพ้ชาติใดในโลก ภายใต้โครงการ “ฮอนด้า เรซ ทู เดอะ ดรีม” ที่มีเป้าหมายพาเด็กไทยไปสู่การแข่งขันระดับสูงสุดของโลกอย่าง “โมโตจีพี” ภายในปี 2025 ก็เริ่มมีความชัดเจนขึ้นอย่างมาก
เจ้าของชัยชนะในศึกเวิลด์ กรังด์ปรีซ์ คนแรกของไทย ซึ่งปัจจุบันอายุ 23 ปี เข้าสู่เส้นทางสายนักบิดตั้งแต่อายุ 9 ขวบ ในโครงการ ฮอนด้า เรซซิ่ง สคูล และที่นี่เขาถูกบ่มเพาะความสามารถจนได้รับคัดเลือกเข้าสู่โปรเจกต์ “โร้ด ทู โมโตจีพี” ในรายการ เอเชีย ทาเลนต์ คัพ ในปี 2013 ด้วยวัยเพียง 15 ปี จากนั้นเส้นทางสู่ “เวิลด์ กรังด์ปรีซ์” ของนักบิดจากชลบุรีเริ่มชัดเจนมากขึ้น หลังผงาดคว้าแชมป์ เอเชีย ทาเลนต์ คัพ ในปี 2016 และได้รับโอกาสก้าวสู่การแข่งขันในรายการ “เอฟไอเอ็ม ซีอีวี โมโตทรี จูเนียร์” ในปี 2017-2018 ขณะที่มีอายุ 18 ปี
เกมระดับ “เวิลด์ กรังด์ปรีซ์” ครั้งแรกของ สมเกียรติ คือการลงบิดด้วยสิทธิ์ไวด์การ์ดในการแข่งขันรุ่น โมโตทรี เวิลด์ แชมเปี้ยนชิพ 2018 รายการ ไทยแลนด์ กรังด์ปรีซ์ ซึ่งนักบิดไทยก็ตอบแทนโอกาสทองนี้ ด้วยการคว้าอันดับ 9 ในโฮมเรซต่อหน้าแฟนความเร็วชาวไทย และนี่คือ “ตั๋วใบสำคัญ” ให้เขาได้รับการโปรโมตขึ้นสู่การแข่งขันชิงแชมป์โลกอย่างแท้จริงในรุ่น โมโตทู เวิลด์ แชมเปี้ยนชิพ ภายใต้สังกัด อิเดมิตสึ ฮอนด้า ทีม เอเชีย ในปีถัดมา
สมเกียรติ ออกสตาร์ทการแข่งขัน โมโตทู ชิงแชมป์โลก ในปี 2019 และยกระดับความสามารถของตัวเองขึ้นอย่างต่อเนื่องในทุกฤดูกาล จนได้รับสัญญาต่อในปี 2020 และ 2021 ผลงานดีที่สุดคือการคว้าอันดับ 5 ที่สนาม เรดบูล ริง ประเทศออสเตรีย ในรายการ ออสเตรียน กรังด์ปรีซ์ จนกระทั่งสร้างผลงานระดับมาสเตอร์คว้าชัยชนะครั้งแรกในชีวิตของตนเองได้สำเร็จ ในรายการ อินโดนีเซียน กรังด์ปรีซ์ เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา
ด้วย “ความเป็นไทย” ในตัวเองที่เข้มข้น สมเกียรติ ให้สัมภาษณ์หลังจบเรซด้วยความภาคภูมิใจว่า “แทบไม่เชื่อสายตาตัวเองกับชัยชนะครั้งแรก และขอมอบความสำเร็จนี้ให้แฟนๆ ชาวไทยทุกคน” พร้อมยกเครดิตให้กับ บริษัท ไทยฮอนด้า แมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด ที่ยังคงเชื่อมั่นใจตัวเขาจนพิสูจน์ตัวเองได้
จากความสำเร็จนี้ สะท้อนให้เห็นว่าโครงการ “ฮอนด้า เรซ ทู เดอะ ดรีม” มีโครงสร้างการพัฒนานักแข่งที่แข็งแกร่ง และเป็นระบบ และช่วยยกระดับวงการมอเตอร์สปอร์ตไทยอย่างชัดเจน ส่งผลให้นักแข่งไทยเข้าใกล้เป้าหมายระดับโลกไปอีกขั้น
ความหวังของคนไทยที่จะได้เห็น “นักแข่งไทย” คว้าชัยชนะใน “เวิลด์ กรังด์ปรีซ์” เกิดขึ้นจริงแล้วจากผลงานของ “ก้อง” สมเกียรติ จันทรา ผลผลิตจากโครงการ “ฮอนด้า เรซ ทู เดอะ ดรีม” และเป้าหมายต่อไปของเขาคือรักษามาตรฐานที่แข็งแกร่งนี้ไว้ เพื่อเป้าหมายสูงสุดคือการแข่งขัน “โมโตจีพี” นั่นเอง