PTG เปิดแผนทรานฟอร์มธุรกิจจาก Oil และ Non-oil เป็นธุรกิจ “Co-Created Ecosystem” มุ่ง 8 ธุรกิจหลักสร้างการเติบโตแบบมั่นคงและยั่งยืน สัดส่วนกำไรจาก Non-oil สู่ระดับ 50% พร้อมก้าวสู่ Global Company ตั้งเป้าปีนี้ EBITDA โต 15-20%
นายพิทักษ์ รัชกิจประการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. พีทีจี เอ็นเนอยี (PTG) เปิดเผยว่า แผนธุรกิจ 5 ปีของบริษัทมีเป้าหมายชัดเจน ในการทรานฟอร์มธุรกิจจาก Oil – Non oil เป็นธุรกิจ Co-Create Ecosystem เพื่อเชื่อมให้ทุกคนได้มีโอกาสเข้าถึงชีวิตที่ “อยู่ดี มีสุข” ในทุกด้านของช่วงชีวิตและให้ธุรกิจเติบโตต่อไปได้อย่างยั่งยืน
โดยธุรกิจหลักที่จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการเติบโต ประกอบด้วย 8 ธุรกิจหลักคือ
- ธุรกิจน้ำมันและแก๊ซ
- ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม
- ธุรกิจ Retail แบบที่เป็น Offline to Online
- ธุรกิจขับเคลื่อนยานยนต์โลจิสติกส์และซัพพลายเชน
- ธุรกิจซ่อมบำรุง
- ธุรกิจสุขภาพ ทั้งกายและใจ เพื่อรองรับสังคมสูงวัย
- ธุรกิจ Digital Platform ทั้งการเงินและ Lifestyle
- พลังงานหมุนเวียน พลังงานสะอาด
ซึ่งธุรกิจเหล่านี้เป็น“เมกะเทรนด์” ของโลกในอนาคต และเป็นธุรกิจที่จะสนับสนุนให้กำไรจากธุรกิจ Non-oil เพิ่มขึ้นเป็น 50% ในปี 2569 และจะช่วยส่งเสริมให้ธุรกิจเดิมของ “พีที” แข็งแรงขึ้น ลูกค้าของเรา มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ผ่านการใช้สินค้าและบริการภายใต้เครือข่ายของพีทีทั้งพันธมิตรจากภายในและภายนอก ภายใต้รูปแบบการบริหารสร้างเครือข่าย Co-Created Ecosystem
นายพิทักษ์ กล่าวว่า การขยับธุรกิจสู่ Co-Created Ecosystem หรือการทำธุรกิจแบบสร้างเครื่อข่าย ผ่านการสร้างสรรค์ร่วมกับพันธมิตร บริษัทคาดหวังว่าในอีก 5 ปี ข้างหน้าจะสามารถสร้าง Touchpoint ให้เพิ่มขึ้นเป็น 268,202 Touchpoint ได้ แบ่งเป็น oil 2,694 Touchpoints และ Non-oil 265,508 Touchpoint จากปีนี้ที่มี Touchpoint ที่เป็น Oil 2,114 จุด จะมาทั้งจาก Offline to online
และ Touch point อื่น ๆ เช่น พาทัวร์ 200,000 Touch point และคาดว่าจะมีร้านค้าที่จะเข้ามาเป็นพันธมิตร 60,000 โชห่วย ร้านกาแฟจะมี 3,000 สาขา รวมถึง Platform partners ต่างๆและจะมีการ Redeem แต้มสูงถึง 10,000 ล้านแต้ม และมีจำนวนสมาชิก 30 ล้านสมาชิก ทั้งออนไลน์และออฟไลน์โดยเป็นผู้ใช้งานบนออนไลน์ 25%
นอกจากนี้จะทรานฟอร์ม ไปสู่ดิจิทัลแพลตฟอร์ม ที่จะเพิ่มมูลค่าเพิ่มให้ลูกค้าเพื่อเพิ่มความสะดวกสบายในการเข้ามาใช้บริการ รวมถึงช่วยเชื่อมต่อกับบริการอื่นๆ ที่ประกอบด้วย บริการทางด้านการเงิน (financial service) เช่นกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-wallet, lending), auto insurance และ lifestyle app เช่น พาทัวร์
และในอนาคต PT ไม่ได้ทำธุรกิจเฉพาะในประเทศเท่านั้นแต่จะขยายธุรกิจไปต่างประเทศ หรือจะก้าวส่การเป็น Global Company ในที่สุด
“เพื่อให้ถึงเป้าหมายที่วางไว้บริษัทคาดว่าจะใช้งบลงทุนสำหรับธุรกิจ Non-oil ปีละประมาณ 1,500-2,000 ล้านบาท และจะขยายผ่านสาขาและ Touchpoint รวมถึงร่วมกับพาร์ทเนอร์หรือร่วมทุนกับบริษัทอื่นๆหรือการเข้าลงทุนในบริษัท Startup ต่างๆโดยทุกธุรกิจทั้งหมดจะดำเนินการภายใต้ Max World ที่เรามีสมาชิกกว่า 17 ล้านคนเพิ่มจากปีก่อนอยู่ที่ 14.5 ล้านคน และปีนี้คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 20 ล้านคน”
นายพิทักษ์ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ “บริษัทแมกซ์เวนเจอร์” ซึ่งเป็นบริษัทในเครือที่จะขับเคลื่อนการลงทุนในระยะกลางและยาว โดยการเข้าไปลงทุนในโปรเจคต่าง ๆ เช่น Nex Pharma, Pavitree พาทัวร์ และลงทุนใน 360Truck ซึ่งเป็น Platform สำหรับ match รถบรรทุกที่ว่างกับผู้ที่ต้องการว่าจ้างงาน ซึ่งจุดมุ่งหวังเรามองถึงการเติบโตของ Platform นี้ จะทำให้ “Max World” แข็งแรงขึ้นและเป็น Enabler ที่ช่วยให้ธุรกิจต่างๆที่กล่าวมาเติบโตขึ้นรวมถึงสร้าง New Business ใหม่ๆ ให้กับบริษัท
“สำหรับเป้าหมายการทำธุรกิจปีนี้ บริษัทคาดว่าอัตราการเติบโตของ EBITDA จะอยู่ที่ประมาณ 15-20% โดยคาดว่า ปริมาณการจำหน่ายน้ำมันที่คาดว่ายังเติบโต 8-12% จากสิ้นปีก่อนปริมาณจำหน่ายน้ำมันอยู่ที่ 5,020 ล้านลิตร อัตราการเติบโตของปริมาณการจำหน่ายแก๊ส LPG 50-60% ส่วน Non-Oil ยังคงมุ่งมั่นในการขยายสาขา อย่างต่อเนื่องเพราะ ถือเป็น 1 ใน Key driver สำคัญของบริษัทโดยคาดว่ารายได้ธุรกิจ Non-oil จะเติบโตขึ้น 80-90% คาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 3,000-4,000 ล้านบาท ในการลงทุนขยายสาขาจะแบ่งเป็นสถานีบริการน้ำมันและแก๊ส LPG 80-100 สาขา Non-Oil Touchpoint ประมาณ 1572 สาขา ซึ่ง PTG ยังคงมีเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนกำไรขั้นต้นจากธุรกิจ Non-oil ให้เพิ่มขึ้นเพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้บริษัท ส่วนแผนการนำบริษัทในเครือเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ยังคงดำเนินการตามแผน” นายพิทักษ์ กล่าว