ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมานี้ สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้สร้างผลกระทบให้กับผู้คนในวงกว้าง โดยเฉพาะกลุ่มผู้ด้อยโอกาสจากชุมชนยากไร้ทั่วประเทศ และสิ่งที่ซ้ำร้ายกว่านั้น ภัยธรรมชาติจากอุทกภัยล่าสุดได้เข้ามาซ้ำเติมให้ประชาชนเหล่านั้นได้รับความเดือดร้อนและมีความเป็นอยู่ที่ย่ำแย่มากยิ่งขึ้น
ในปี 2564 นี้ ซาโนฟี่ ประเทศไทย ได้จัดโครงการ CSR จิตอาสา หรือ CSR Volunteering Week ขึ้นพร้อมกันกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ มาเลเซีย สิงคโปร์ โดยซาโนฟี่ ประเทศไทย ร่วมมือกับ 2 พันธมิตรจิตอาสา ได้แก่ มูลนิธิไอแคร์ ประเทศไทย และสภากาชาดไทย จัดโครงการ CSR จิตอาสา ทั้งหมด 3 กิจกรรม ภายใต้แนวคิด ‘Give of Life & Gift of Happiness’ เพื่อเปิดโอกาสให้พนักงานเข้าร่วมกิจกรรม CSR จิตอาสา ตามความต้องการตลอดช่วงเวลาสัปดาห์แห่งการให้ ร่วมส่งความสุขผ่านการยกระดับคุณภาพชีวิต เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีกว่าของชุมชนยากไร้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 และอุทกภัยครั้งล่าสุด โดยเฉพาะคนชรา คนว่างงาน และเด็กด้อยโอกาสในชุมชนเหล่านั้น
คุณมารีน คินยาร์ค สตูยาโนวิช ผู้จัดการใหญ่ ซาโนฟี่ ประจำประเทศไทยและมาเลเซีย กล่าวว่า “ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ซาโนฟี่ ในฐานะบริษัทชั้นนำด้านสุขภาพระดับโลก ได้มุ่งส่งเสริมให้พนักงานมีส่วนร่วมในการสร้างประโยชน์และอุทิศตนเพื่อช่วยเหลือส่วนรวม เพื่อยกระดับความเป็นอยู่ที่ดีของคนในสังคมที่เราดำเนินธุรกิจอยู่อย่างยั่งยืน โดยโครงการ CSR จิตอาสาที่จัดขึ้นในครั้งนี้ นับเป็นการสานต่อโครงการจิตอาสาของซาโนฟี่ระดับโลก (Global Corporate CSR) ที่มุ่งมั่นผลักดันและกระจายการช่วยเหลือสังคมสู่ระดับท้องถิ่น ความพิเศษในปีนี้คือ การจัดโครงการ CSR จิตอาสาพร้อมกันในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ ประเทศไทย มาเลเซีย สิงคโปร์ ด้วยความร่วมมือจากพนักงานจิตอาสา ซาโนฟี่ และการสนับสนุนจากหน่วยงานที่น่าเชื่อถือในระดับท้องถิ่นในแต่ละประเทศ ส่งผลให้ซาโนฟี่สามารถส่งต่อความช่วยเหลือให้กับครอบครัวต่างๆ จากชุมชนยากไร้มากกว่า 2,000 ครอบครัวผ่านการทำกิจกรรม CSR จิตอาสารวมกว่า 1,000 ชั่วโมง”
คุณปัณฑ์ชนิต สเนป ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กรประจำประเทศไทย มาเลเซีย สิงคโปร์ และเอเชีย กล่าวว่า “สำหรับโครงการ CSR จิตอาสาในปีนี้ นับเป็นอีกครั้งที่รู้สึกประทับใจและภูมิใจที่ได้เห็นถึงการรวมพลังและน้ำใจของพนักงานจิตอาสา ซาโนฟี่ ประเทศไทย ที่ให้ความสนใจตอบรับเข้าร่วมโครงการ CSR จิตอาสา ผ่านกิจกรรมที่จัดขึ้นตลอดระยะเวลาหนึ่งสัปดาห์ ได้แก่ กิจกรรมบริจาคเลือดที่ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย กิจกรรมอาสาแพ็คถุงยังชีพให้กับกลุ่มคนชรา คนว่างงาน และเด็กด้อยโอกาสจากชุมชนผู้ยากไร้ จำนวน 500 ถุง และกิจกรรมลงพื้นที่เพื่อส่งมอบความช่วยเหลือและถุงยังชีพให้แก่ชุมชน 2 แห่ง คือชุมชนบางไทร และชุมชนบ้านแป้ง อำเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งเป็นชุมชนที่ชาวบ้านได้รับความเดือดร้อนอย่างมากจากทั้งการแพร่ระบาดของโควิด-19 และน้ำท่วมขังเป็นเวลานาน นอกจากกิจกรรมจิตอาสาดังกล่าว ซาโนฟี่ ประเทศไทย โดยมีพนักงานร่วมสมทบทุน ได้มอบเงินทุนพร้อมด้วยอุปกรณ์การศึกษาเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของมูลนิธิไอแคร์ ประเทศไทย ส่งต่อความช่วยเหลือให้กับชุมชนที่ยากไร้ทั่วประเทศไทย มูลค่ารวมกว่า 310,000 บาท ด้วยความร่วมมือและการสนับสนุนจาก มูลนิธิไอแคร์ ประเทศไทย และสภากาชาดไทย ทำให้ซาโนฟี่ ประเทศไทยสามารถส่งต่อความช่วยเหลือแก่ชุมชนที่ยากไร้ที่กำลังเผชิญกับความยากลำบาก มากกว่า 500 ครอบครัว นอกจากนี้ ยังมีส่วนช่วยสถานการณ์ที่ประเทศไทยกำลังขาดแคลนเลือดอยู่ในขณนี้ ผ่านการร่วมบริจาคเลือดของพนักงานจิตอาสา”
จากการพูดคุยกับชาวบ้านชุมชนบางไทร อำเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา คุณปรัศนี วงศ์ศิริศิลป์ หนึ่งในพนักงานจิตอาสา ซาโนฟี่ ประเทศไทย เล่าให้ฟังว่า “ปีนี้ชุมชนของพวกเขาได้รับความเดือดร้อนเป็นอย่างมาก เนื่องผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้คนในครอบครัวส่วนใหญ่ว่างงานและมีชีวิตอยู่อย่างลำบาก นอกจากนี้ภัยน้ำท่วม ที่น้ำท่วมสูงกว่าทุกปี และท่วมขังในบริเวณบ้านเป็นเวลานานนับเดือน ทำให้ส่งกลิ่นเหม็นเน่า และมีปัญหาเรื่องยุงลาย มีน้ำกัดเท้าบ้าง ส่งผลให้ต้องใช้ชีวิตอย่างลำบากมากกว่าเดิม โดยเฉพาะบ้านที่มีเด็กเล็ก คนชรา และสัตว์เลี้ยง เพราะไม่สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ แต่อย่างไรพวกเขาก็รู้สึกดีใจที่มีหน่วยงานต่างๆ รวมถึงซาโนฟี่ ประเทศไทย มีน้ำใจและเข้ามาช่วยเหลือสนับสนุน ทำให้พวกเขามีกำลังใจมากขึ้น”
โครงการ CSR จิตอาสา ในครั้งนี้ นับเป็นการตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของซาโนฟี่ ในการสนับสนุนช่วยเหลือคนในท้องถิ่นที่ได้รับความเดือดร้อน เพื่อมุ่งส่งเสริมความเป็นอยู่ของคนในชุมชนให้ดียิ่งขึ้น สะท้อนให้เห็นถึงความร่วมแรงร่วมใจของพนักงานจิตอาสา ซาโนฟี่ ประเทศไทย และสิ่งสำคัญคือพนักงานจิตอาสาได้รับพลังแห่งความสุขและอิ่มเอมกลับไปทุกครั้ง ซึ่งถือเป็นอีกความสำเร็จในการทำภารกิจที่ได้ช่วยเหลือเกื้อกูลกันและเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนท้องถิ่นที่พึ่งพาอาศัยกัน