เชลล์เดินหน้ายุทธศาสตร์ในการเร่งขับเคลื่อนสู่การเป็นธุรกิจพลังงานที่ชดเชยการปล่อยก๊าซคาร์บอนให้เป็นศูนย์ทั้งในส่วนของผลิตภัณฑ์และบริการ พร้อมผลักดันการเติบโตของธุรกิจที่มีลูกค้าเป็นศูนย์กลาง พร้อมกับดำเนินการวางกรอบการจัดการกระแสเงินสดอย่างเป็นระบบ และมีกระบวนการลดปริมาณการปล่อยคาร์บอน ซึ่งจะเป็นการเพิ่มคุณค่าให้กับผู้ถือหุ้น รวมถึงลูกค้าและสังคมในวงกว้าง เชลล์ยืนยันการคาดการณ์ปริมาณการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนในระดับสูงสุดเมื่อปี พ.ศ. 2561 ขณะที่ระดับการผลิตน้ำมันสูงสุดคือเมื่อปี พ.ศ. 2562
มร.เบน ฟาน เบอร์เดน ประธานกรรมการบริหาร บริษัท รอยัลดัทช์เชลล์ กล่าวว่า “ยุทธศาสตร์หลักของเราคือการเดินหน้าในการลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนและส่งมอบคุณค่าให้กับผู้ถือหุ้นและลูกค้าของเรา ตลอดจนสังคมโดยรวม
เราต้องมอบผลิตภัณฑ์และบริการซึ่งเป็นที่ต้องการและมีความจำเป็นให้แก่ลูกค้า โดยเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด ในขณะเดียวกัน เราจะใช้ความแข็งแกร่งขององค์กรที่มีรากฐานมั่นคงมาอย่างยาวนานในการต่อยอดสัดส่วนธุรกิจของบริษัทฯ ให้มีศักยภาพการแข่งขันสูง ในขณะที่เปลี่ยนผ่านไปสู่การเป็นธุรกิจที่ชดเชยการปล่อยก๊าซคาร์บอนให้เป็นศูนย์พร้อมกับการดูแลเคียงข้างสังคม
ไม่ว่าลูกค้าของเราจะเป็นภาคการขับขี่และคมนาคม ภาคครัวเรือน หรือภาคธุรกิจ เราจะใช้ศักยภาพระดับโลกควบคู่กับการเป็นแบรนด์ที่ได้รับความไว้วางใจเพื่อเติบโตในตลาดที่มีความต้องการผลิตภัณฑ์และบริการด้านพลังงานสะอาดในระดับสูงที่สุด อีกทั้งยังจะดำเนินการบริหารความเสี่ยงเกี่ยวกับกระแสเงินสด ควบคู่กับการสร้างผลตอบแทนที่สูงขึ้นด้วย”
นับจากวันนี้เป็นต้นไป เชลล์จะผสานกลยุทธ์ สัดส่วนธุรกิจ และความมุ่งมั่นตั้งใจด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมภายใต้เป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ Powering Progress อันประกอบด้วย การสร้างคุณค่าให้แก่ผู้ถือหุ้น การชดเชยการปล่อยก๊าซคาร์บอนให้เป็นศูนย์ การเสริมสร้างคุณภาพชีวิตที่ดี และการเคารพต่อธรรมชาติ ทั้งนี้การปรับกลยุทธ์องค์กรเพื่อให้เชลล์สามารถบรรลุเป้าหมายดังกล่าวจะดำเนินการใน 3 กลุ่มธุรกิจหลัก คือ ธุรกิจเติบโต ธุรกิจเปลี่ยนผ่าน และธุรกิจต้นน้ำ
ความยืดหยุ่นทางการเงินและการเติบโตอย่างมีกำไรผ่านการจัดสรรเงินทุนอย่างเป็นระบบ
เชลล์เน้นย้ำความสำคัญของกระแสเงินสดเพื่อให้สามารถส่งมอบคุณค่าให้แก่ผู้ถือหุ้นในปัจจุบัน พร้อมทั้งสร้างการเติบโตของคุณค่าสำหรับอนาคต ซึ่งครอบคลุมด้านต่างๆ ดังนี้
- ดำเนินนโยบายเงินปันผลแบบก้าวหน้า โดยเพิ่มเงินปันผลต่อหุ้นประมาณ 4% ต่อปี ภายใต้การอนุมัติของคณะกรรมการบริหารบริษัทฯ
- รักษางบประมาณการใช้จ่ายรายปีสำหรับอนาคตอันใกล้ซึ่งมีมูลค่า 19,000 – 22,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
- ลดหนี้สุทธิให้เหลือ 65,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
- ในการลดหนี้สุทธิให้เหลือ 65,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มีเป้าหมายคือการให้ปันผลแก่ผู้ถือหุ้นทั้งหมดด้วยกระแสเงินสด 20 – 30% จากการดำเนินกิจการ ทั้งนี้การให้ปันผลที่มากขึ้นให้แก่ผู้ถือหุ้นเป็นผลสัมฤทธิ์มาจากเงินปันผลแบบก้าวหน้าและการซื้อหุ้นคืนของเชลล์มีการเติบโตของงบประมาณการใช้จ่ายที่เป็นระบบและควบคุมได้ สมดุลกับการให้ปันผลเพิ่มเติมแก่ผู้ถือหุ้น พร้อมทั้งเสริมสร้างความแข็งแกร่งยิ่งขึ้นให้กับงบแสดงฐานะการเงินของบริษัทฯ
ในอนาคตอันใกล้ คาดว่าจะรักษาค่าใช้จ่ายสำหรับดำเนินกิจการที่จำเป็นให้ไม่เกิน 35,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และจากการขายสินทรัพย์เพื่อให้เกิดมูลค่าเฉลี่ยปีละ 4,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อเวลาผ่านไป ยอดคงเหลือจากการใช้จ่ายเงินทุนจะคืนกลับเข้าสู่แกนหลักของธุรกิจเพื่อการเติบโต ประมาณครึ่งหนึ่งของการใช้จ่ายเงินทุนส่วนที่เพิ่มเติม ขณะที่กระแสเงินสดจะมีแนวโน้มสอดคล้องกัน และในระยะยาวจะมีความเสี่ยงน้อยลงจากราคาน้ำมันและเชื้อเพลิง ซึ่งเชื่อมโยงกับการเติบโตของเศรษฐกิจในวงกว้าง
มุ่งหน้าสู่การชดเชยการปล่อยก๊าซคาร์บอนให้เป็นศูนย์: แนวทางบริหารจัดการคาร์บอนแบบครอบคลุม
เชลล์ เดินหน้าวิธีการที่จะบรรลุเป้าหมายในการเป็นธุรกิจพลังงานที่ชดเชยการปล่อยก๊าซคาร์บอนให้เป็นศูนย์ภายในปี พ.ศ. 2593 ควบคู่กับการสร้างความร่วมมือกับสังคมเพื่อบรรลุเป้าหมายเดียวกัน
เป้าหมายยุทธศาสตร์ Powering Progress ยังเป็นการส่งเสริมเป้าหมายอันท้าทายของสนธิสัญญากรุงปารีสว่าด้วยการแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศโลก ที่จะจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียส เพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายในการชดเชยการปล่อยก๊าซคาร์บอนให้เป็นศูนย์ เชลล์มีแผนดำเนินการ ดังนี้:
- เชลล์จะสานต่อเป้าหมายระยะสั้นในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนในระหว่างขับเคลื่อนองค์กรไปสู่เป้าหมายภายในปี พ.ศ. 2593 โดยเชื่อมโยงกับค่าตอบแทนแก่พนักงานมากกว่า 16,500 คน อีกทั้งยังครอบคลุมเป้าหมายใหม่ที่จะลดปริมาณความเข้มข้นสุทธิของคาร์บอนลง 6 – 8% ภายในปี พ.ศ. 2566, 20% ภายในปี พ.ศ. 2573, 45% ภายในปี พ.ศ. 2578 และ 100% ภายในปี พ.ศ. 2593 โดยใช้บรรทัดฐานจากปี พ.ศ. 2559
- เชลล์ยืนยันการคาดการณ์ปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนในระดับสูงสุดเมื่อปี พ.ศ. 2561 โดยอยู่ที่ 1.7 กิกะตันต่อปี
- เชลล์ยืนยันระดับการผลิตน้ำมันสุทธิสูงสุด คือเมื่อปี พ.ศ. 2562
- เชลล์จะแสวงหาการเข้าถึงการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มขึ้นอีกปีละ 25 ล้านตัน ภายในปี พ.ศ. 2578 โดยเมื่อเร็วๆ นี้ เชลล์มีส่วนร่วมใน 3 โครงการด้านการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ได้แก่ โครงการ Quest ในประเทศแคนาดา (อยู่ระหว่างดำเนินการ) โครงการ Northern Lights ในประเทศนอร์เวย์ (อนุมัติแล้ว) และโครงการ Porthos ในประเทศเนเธอร์แลนด์ (วางแผนแล้ว) ซึ่งทั้ง 3 โครงการจะสามารถกักเก็บได้รวมกันถึง 4.5 ล้านตัน
- เชลล์มุ่งมั่นในการส่งมอบโซลูชันส์พลังงานที่มีฐานจากธรรมชาติ สอดคล้องกับหลักปรัชญาว่าด้วยการหลีกเลี่ยงและการลดปริมาณ เพื่อชดเชยการปล่อยก๊าซคาร์บอนปีละประมาณ 120 ล้านตันภายในปี พ.ศ. 2573 ทั้งนี้ จะเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการรับรองคุณภาพระดับสูงสุด
- เชลล์จะทำงานร่วมกับองค์กรอิสระต่างๆ ตัวอย่างเช่น Science Based Targets Initiative และ Transition Pathway Initiative ตลอดจนหน่วยงานอื่นๆ ในการพัฒนามาตรฐานสำหรับอุตสาหกรรมและดำเนินงานให้สอดคล้องกับมาตรฐานเหล่านั้น
- ตั้งแต่การประชุมผู้ถือหุ้นสามัญประจำปี พ.ศ. 2564 เชลล์นำเสนอแผนการเปลี่ยนผ่านทางพลังงานให้แก่คณะผู้ถือหุ้นพิจารณาลงคะแนนเสียงเพื่อให้คำแนะนำทิศทางในการดำเนินธุรกิจ โดยเป็นองค์กรแรกในภาคอุตสาหกรรมพลังงานที่ดำเนินการดังกล่าว ในการนี้ บริษัทฯ จะอัพเดทแผนดังกล่าวทุกๆ 3 ปี เพื่อขอความคิดเห็นต่อความคืบหน้าที่เกิดขึ้นในแต่ละปีผ่านการลงคะแนนเสียง
ส่งมอบพลังงานพร้อมสร้างการเติบโตทางธุรกิจด้วยสัดส่วนธุรกิจที่สร้างการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน
เชลล์ตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนธุรกิจ ในกลุ่มธุรกิจที่ใช้วัตถุดิบหรือผลิตภัณฑ์ที่ก่อให้เกิดคาร์บอนในปริมาณต่ำอย่างมีนัยสำคัญภายในต้นทศวรรษ 2030 โดยธุรกิจต้นน้ำจะยังคงเดินหน้าในการจัดหาแหล่งพลังงานเพื่อส่งมอบอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะช่วยสร้างกระแสเงินสดและเพิ่มมูลค่าให้แก่ผู้ถือหุ้นที่ร่วมลงทุน ขณะเดียวกันก็เพิ่มการลงทุนในกลุ่มธุรกิจที่เติบโต เพื่อสร้างโอกาสในตลาดใหม่ๆ
ในระยะสั้น กลยุทธ์ของเชลล์คือการสร้างสมดุลให้กับธุรกิจต่างๆ ในแผนสัดส่วนธุรกิจ โดยลงทุนปีละ 5,000 – 6,000 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในกลุ่มธุรกิจเติบโต (ประมาณ 3,000 ดอลลาร์สหรัฐ ในการทำตลาด และ 2,000 – 3,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในธุรกิจพลังงานทดแทนและโซลูชันส์ด้านพลังงาน), 8,000 – 9,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในกลุ่มธุรกิจเปลี่ยนผ่าน (ประมาณ 4,000 ล้านในธุรกิจก๊าซธรรมชาติ และ 4,000 – 5,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในธุรกิจเคมีภัณฑ์) และราว 8,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในกลุ่มธุรกิจต้นน้ำ
กลุ่มธุรกิจเติบโต
การตลาด
ตั้งเป้าเพิ่มกำไรสุทธิให้อยู่ที่ราว 6,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปีพ.ศ. 2568 (จากเดิมที่ 4,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปีพ.ศ. 2563) โดยจะบรรลุเป้าหมายด้วยการเพิ่มศักยภาพในตลาดที่องค์กรเป็นผู้นำอย่างในธุรกิจน้ำมันหล่อลื่น ซึ่งตั้งเป้าเพิ่มจำนวนผู้ใช้เป็น 40 ล้านคน จากสถานีบริการน้ำมันกว่า 55,000 แห่งทั่วโลก (เพิ่มจากเดิมที่ 30 ล้านคน จากสถานีบริการน้ำมันจำนวน 46,000 แห่ง) และสร้างการเติบโตให้แก่เครือข่ายธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ในระดับโลก โดยเพิ่มจุดให้บริการชาร์จไฟฟ้าจำนวน 60,000 จุด เป็น 500,000 จุด ภายในปี พ.ศ. 2568
ในกลุ่มเชื้อเพลิงที่ผลิตคาร์บอนปริมาณต่ำ – สานต่อการเป็นผู้นำด้านการผลิตและจำหน่ายพลังงานชีวภาพ โดยในปีพ.ศ. 2562 เชลล์ได้จำหน่ายพลังงานชีวภาพมากกว่า 10,000 ล้านลิตร พันธมิตรผู้ร่วมทุนทางธุรกิจของเรา Raízen ซึ่งผลิตพลังงานคาร์บอนต่ำจากอ้อยในบราซิล ได้ประกาศการซื้อ Biosev ซึ่งการขยายธุรกิจในครั้งนี้ เพื่อเพิ่มความสามารถในการผลิตพลังงานทางเลือกไบโอเอทานอลของ Raízen ให้เป็น 50% หรือที่ 3,750 ล้านลิตรต่อปี หรือราวๆ 3% ของการผลิตทั่วโลก
ธุรกิจพลังงานทดแทนและโซลูชันส์ด้านพลังงาน
พลังงานไฟฟ้าแบบบูรณาการ – ตั้งเป้าขายพลังงานไฟฟ้า 560 เทราวัตต์ชั่วโมงต่อปีภายในปีพ.ศ. 2573 ซึ่งนับเป็น 2 เท่าของปริมาณไฟฟ้าที่ขายได้ในทุกวันนี้เราคาดหวังที่จะส่งมอบไฟฟ้าให้แก่ลูกค้ารายย่อยและลูกค้าเชิงธุรกิจทั่วโลกมากกว่า 15 ล้านคนทั่วโลก โดยยังตั้งเป้าเป็นผู้นำด้านการส่งมอบพลังงานสะอาดรวมถึงบริการที่เชื่อถือได้และจะยังคงเดินหน้าสร้างการเติบโตโดยลงทุนร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจที่จะช่วยต่อยอดและเน้นย้ำการเป็นผู้บริหารจัดการด้านพลังงานสะอาด
โซลูชันส์ด้านพลังงานที่มีธรรมชาติเป็นพื้นฐาน – คาดการณ์ว่าจะลงทุนราว ๆ 100 ล้านดาลลาร์สหรัฐต่อปีในโครงการคุณภาพสูงที่น่าเชื่อถือและสามารถตรวจสอบได้ บนพื้นฐานของการสร้างการเปลี่ยนแปลงและความยั่งยืนให้แก่ธุรกิจ รวมถึงช่วยให้ลูกค้าดำเนินธุรกิจตามเป้าหมายที่จะไม่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกสู่สิ่งแวดล้อม
ก๊าซไฮโดรเจน – สร้างการเป็นผู้นำของเชลล์ในกลุ่มธุรกิจก๊าซไฮโดรเจน โดยการพัฒนาสถานีชาร์จไฮโดรเจน เพื่อรองรับการคมนาคมและขนส่งของอุตสาหกรรมหนัก โดยตั้งเป้ามีส่วนแบ่งการตลาดธุรกิจพลังงานสะอาดไฮโดรเจนของโลกเป็นตัวเลขสองหลัก
กลุ่มธุรกิจเปลี่ยนผ่าน
ธุรกิจก๊าซธรรมชาติ
เสริมความแข็งแกร่งในกลุ่มธุรกิจก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ด้วยการเพิ่มวอลลุ่มและขยายตลาด จากการเลือกลงทุนในสินทรัพย์หรือกลุ่มธุรกิจ LNG ที่มีแนวโน้มการเติบโตที่ดี เพื่อส่งมอบพลังงานมากกว่า 7 ล้านตันในแต่ละปี ซึ่งนับเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการผลิตและส่งมอบพลังงานก๊าซธรรมชาติเหลวภายในกลางทศวรรษนี้ ทั้งยังคงสนับสนุนลูกค้าให้ก้าวสู่การดำเนินธุรกิจที่ไม่ปล่อยมลพิษได้ด้วยการมอบพลังงานที่ให้คาร์บอนที่เป็นกลางอย่าง LNG
ธุรกิจเคมีภัณฑ์
เปลี่ยนผ่านการปล่อยมลพิษจากการดำเนินธุรกิจโรงกลั่นน้ำมัน 13 แห่ง สู่การสร้างสนามพลังงานและเคมีภัณฑ์ทรงประสิทธิภาพ 6 แห่ง เพื่อลดการผลิตพลังงานดั้งเดิมลง 55% ภายในปี พ.ศ. 2573 โดยมุ่งสร้างการเติบโตเชิงปริมาณของกลุ่มธุรกิจเคมีภัณฑ์ให้กับสัดส่วนธุรกิจขององค์กร และเพิ่มกระแสเงินสดจากธุรกิจเคมีภัณฑ์ในวงเงินประมาณ 1,000 – 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เปรียบเทียบจากแผนระยะกลางขององค์กร โดยจะผลิตเคมีภัณฑ์จากขยะรีไซเคิลหรือเคมีภัณฑ์หมุนเวียน และภายในปีพ.ศ. 2568 ตั้งเป้าผลิตเคมีภัณฑ์จากขยะพลาสติกให้ได้ 1 ล้านตันต่อปี
กลุ่มธุรกิจต้นน้ำ
มุ่งเน้นการสร้างคุณค่ามากกว่าในเรื่องของปริมาณ โดยเน้นการดำเนินธุรกิจอย่างเรียบง่ายและมีความยืดหยุ่น พร้อมปรับตัว โดยยังคงแสวงหาแหล่งพลังงานที่จะสร้างกระแสเงินสดได้อย่างต่อเนื่องจนถึงปี พ.ศ. 2573 พร้อมลดการผลิตน้ำมันอย่างค่อยเป็นค่อยไป ทั้งนี้คาดการณ์ในการทยอยลดปริมาณการผลิตลง 1 – 2% ในแต่ละปี รวมถึงการลดการลงทุนในธุรกิจดังกล่าว ตลอดจนการลดปริมาณที่เป็นไปตามสภาวการณ์ปกติด้วย